นานแค่ไหนแล้วนะที่แพทโซนิคห่างหายจาากบทความเล่าเรื่องเที่ยว ยอมรับตามตรงว่าหลังๆ ก็ขาดแรงบันดาลใจจะเขียนเรื่องทำนองนี้ไปเหมือนกัน ประกอบกับชีวิตช่วงนี้ไม่อำนวยให้ได้ท่องเที่ยวบ่อยๆ เหมือนกับช่วงอื่น แต่ชีวิตที่ยังต้องดำเนินต่อ จะมัวมานั่งอับเฉาอยู่ก็คงจะมิได้ เลยต้องหาทางออกไปข้างนอกเสียบ้าง ยังจุดหมายอีกมากมายที่ยังไม่ได้ไป หนึ่งในนั้นคือ ปีนัง (Penang) ประเทศมาเลเซีย เพื่อนบ้านนั่นเอง
จริงๆ ถ้ามองว่าเป็นการทริปเมืองนอก ก็คงจะนับได้ว่าเป็นทริปครั้งแรกของผม ด้วยงบที่มีไม่สูงนัก ทำให้มีความเป็นไปได้เพียง 1 ครั้งต่อปีเท่านั้นที่จะออกไปได้ แต่ปีนี้ตั้งใจว่าออกไปสองครั้ง เริ่มด้วยเป้าหมายระยะใกล้ ทริปสั้นๆ เพียงสองวันเสาร์-อาทิตย์ กลับผู้ร่วมทางกลุ่มเล็กๆ เดินทางไปยังเมืองเล็กบนเกาะเล็กๆ ที่กลายเป็นเมืองมรดกโลก
ที่บ้างก็เขียน Penang บ้างก็เขียน Pinang บางทีก็เห็น Pulau Pinang
10:50AM เสาร์ที่ 23 กันยายน 2560 DMK
จัดแจงนำอาหารเช้าแบบเบาๆ เข้าปาก แล้วจึงจัดการเอาตัวเองเข้าตามกระบวนการ เครื่องบินแอร์บัสของสายการบินสีแดงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่อ่าวไทยก่อนจะตัดผ่านภาคใต้ตอนปลายไปลงจอด ณ สนามบินนานาชาติปีนัง
ที่มาเลเซีย เวลาจะเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง ไปถึงแล้วต้องปรับเวลาในมือถือและนาฬิกาข้อมือด้วย
01:35PM เสาร์ที่ 23 กันยายน 2560 PEN
เมื่อไปถึงก็ไม่รอช้า รู้สึกแปลกที่เลยได้แต่เดินตามๆ เขาไป ภารกิจที่นี่คือการแลกเงินริงกิตที่เคาน์เตอร์ธนาคาร (ซึ่งมีให้เลือกอยู่สองเจ้าเท่าที่เห็น) และก็จัดแจงซื้อ SIM สำหรับนักท่องเที่ยว เราเลือก Digi ที่โลโก้เหมือน DTAC ในไทย แต่เขาใช้สีเหลือง เลือกแพ็กเกจ Digi Prepaid BEST ใช้ได้ทั้งโทรทั้ง 4GPlus หมดไป 38 RM ใช้เน็ตได้ 1.8 GB แต่ใช้เน็ตได้ฟรี 1 GB ช่วงบ่ายโมงถึงหนึ่งทุ่ม
เดินออกมาด้านหน้าที่มีรถบัสจอดเป็นแถวรออยู่ เพราะที่พักเราอยู่แถวๆ Komtar สายของรถบัสจึงไม่พ้น 401, 401E แต่พอดีเห็น AT – Airport Transit เข้ามาจอดพอดี เลยได้ทีขึ้นอย่างเร็วไว
ขึ้นรถบัสที่ปีนังต้องเตรียมเงินไว้ให้พอดีนะ เพราะไม่พอดีอย่างพวกเราก็ต้องจำใจเสียเงินทอนไปโดยปริยาย
ค่าโดยสารของ AT จากสนามบินปีนังมายัง Komtar อยู่ที่ 2.7 RM ต่อคน
รถบัสที่นี่ไม่มีกระเป๋าหรือกระปี๋ เข้าประตูหน้า บอกจุดหมาย จ่ายเงินแล้วรับตั๋วที่พนักงานขับรถ ที่เหลือก็เดินไปนั่งหรือยืนตามใจชอบ เขาจะมีที่นั่งที่สงวนไว้สำหรับผู้โดยสารบางกลุ่มด้วยนะ เท่าที่เห็นคือขับจี้คันหน้าพอสมควร มีเสียวบ้างแต่ก็รอดมาได้ด้วยดี
รถบัสที่เราจะคุ้นเคยที่สุดคงเป็น Rapid Penang ซึ่งเราจะสัญจรไปไหนด้วยรถบัสเจ้านี้เป็นหลัก
ใช้เวลาราว 40 นาทีจึงมาถึง Komtar ที่เป็นที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าหลายๆ เจ้า ทั้ง 1st Avenue และ Prangin Mall เป็นที่ตั้งของตึกทรงกระบอกที่สูงชะลูดที่สุดในย่านนั้น
แถมยังเป็น Bus Terminal รถเมล์แทบทุกสายในปีนังจะผ่านหรือเริ่มต้นที่นี่
แม้หิวจะแย่แต่เราจำเป็นต้องไปเช็คอินที่พักให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งที่พักที่เลือกไว้คือ Hotel NEO+ Penang ที่อยู่บนถนน Jalan Gurdwara ที่นี่ยังดูเป็นโรงแรมที่ใหม่อยู่มาก พนักงานต้อนรับจะสวมวิกสีขาว ภายในมีทั้งร้านอาหาร+คาเฟ่ มีทั้งยิมที่ชั้นสอง และมีทั้งสระว่ายน้ำอยู่ชั้นบน ในอาคารที่ค่อนข้างสูงเพราะมีถึง 25 ชั้น
เก็บกระเป๋าเรียบร้อยก็รวมกันออกมาอีกครั้ง เพื่อหาอะไรลงท้อง จุดหมายง่ายๆ คือการกลับไปแถว Komtar
แยกแถว Komtar เป็นแยกใหญ่ทีเดียว การข้ามแยกที่นี่จะไฟสัญญาณจราจรสำหรับคนด้วย แต่บางจังหวะก็งงๆ เหมือนกัน เพราะก็ไม่มีการปล่อยรถมา แต่สัญญาณคนก็ไม่ได้เขียวเหมือนกัน สังเกตว่าบางคนก็ดูไม่ได้สนใจไฟเท่าไหร่ วิ่งข้ามกันตามสะดวกก็มี
เดินเข้าไป Komtar Coffee House ลักษณะเหมือนศูนย์อาหาร มีหลายร้านในเลือก เดินเข้าไปพบหลากเมนูให้เลือก ปรากฏว่าสมาชิกทริปนี้ใจตรงกันเสียเป็นส่วนใหญ่ เลือก Char Koay Teow กันหมด ทำให้เราต้องฉีกมาสั่ง Laksa เมนูที่เคยลิ้มตอนเที่ยวสิงคโปร์
Char Koay Teow (6.0 RM) จะมีความคล้ายกับผัดไทยของบ้านเราเอามากๆ แต่อาจจะไม่มีผักหลายชนิดเท่าเรา และรสชาติไม่แตกต่างมากเพียงแค่อาจจะไม่จัดจ้านเท่า ที่นี่ดูจะจืดไปนิดนึง แต่ถือว่าพอทานได้ ขณะที่ Laksa (5.0 RM) เป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำเส้นกลม ที่น้ำค่อนข้างมีรสชาติแปลกลิ้นและรู้สึกได้ถึงรสของผักชีฝรั่ง ไม่ถูกใจเท่าไหร่แต่ด้วยความหิวจึงฟาดจนหมด
การสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษที่นี่อาจกลายเป็นสเน่ห์เพราะอาจจะได้ตามที่ต้องการหรือไม่ก็ได้ ก็ให้ชิลๆ ไปละกัน
ได้เวลาเดินทางสู่ Penang Hill
เราเลือกที่จะขึ้นรถบัสมากกว่าเพราะราคาถูกกว่าใช้บริการรถแท็กซี่มากพอสมควร และด้วยความมือใหม่นี่แหละ ทำให้เอ๋อๆ ไปบ้างในการขึ้นรถบัส ทำให้เราเดินผ่านเทอร์มินัลไปขึ้นอีกป้ายเฉยเลย กว่าจะรู้ตัวก็รอรถบัสอยู่นานโข ในที่สุดสายที่ต้องการก็มา แต่เรากลับถูกพนักงานขับรถหัวเราะชอบใจ พลางบอกว่าต้องไปขึ้นที่เทอร์มินัล เดินกลับสิครับท่าน
บัสเทอร์มินัลที่ Komtar จะมีอยู่หลายช่อง (Lane) และการจะขึ้นรถบัสเพื่อไปปีนังฮิลล์ ต้องขึ้นสาย 201, 204 ซึ่งสาย 204 จะสุดสายที่ปีนังฮิลล์จึงสะดวกที่สุด ให้รอขึ้นที่ Lane 2
ค่าโดยสาร 2.0 RM ต่อคน
ใช้เวลาพอสมควรในการเดินทางด้วยรถบัสเพื่อไปยัง ปีนังฮิลล์ (Penang Hill) หรือ บูกิต เบนดีรา (Bukit Bendera) ด้วยถนนที่ค่อนข้างแคบ และด้วยเพราะเราเสียเวลาไปกับการขึ้นรถผิดที่จนต้องรอนาน ทำให้กว่าจะถึงทางเข้าปีนังฮิลล์ก็ปาห้าโมงเย็นกว่าแล้ว
แต่สิ่งที่ดีของการมาเวลานี้ก็คือ เราจะได้ทั้งวิวของยามเย็นและยามค่ำคืน
ราคาการขึ้นรถรางขึ้นไปข้างบนนั้น ราคาของชาวมาเลเซียและชาวต่างชาติจะไม่เท่ากัน โดยชาวต่างชาติจะต้องเสียในราคาที่แพงกว่า
อัตราค่าโดยสารสำหรับชาวต่างชาติ แบบขาขึ้น+ขาลง แบบธรรมดา 30 RM แบบด่วน (Fast Lane) 60 RM เราจึงเลือกแบบธรรมดาครับ
เราเลือกเข้าประตูด้านล่างสุดของ Cable Car เพื่อที่จะได้ถ่ายภาพของรางด้วย รถเคลื่อนที่ขึ้นอย่างเร็วมาก ราว 3 นาทีก็ขึ้นมาถึงข้างบนแล้ว
ที่นี่เราจะเห็นทัศนียภาพของเมืองปีนังเบื้องล่าง และเห็นไปถึงมาเลย์ที่เป็นแผ่นดินใหญ่ เห็นภูเขาและน้ำล้อมรอบอยู่ มีจุดชมวิวอยู่หลายจุด การมาวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดอาจจะพบผู้คนมากมายรายล้อมจนต้องแย่งวิวกันนิดนึง
แต่การรอจนถึงค่ำจะได้บรรยากาศที่สวยงามอีกแบบของเมือง
ที่นี่มีบาร์เอาไว้นั่งชมวิว จิบเบียร์และรับลมเย็นๆ ที่พัดผ่านตัวจนลืมความร้อนระอุของอากาศเบื้องล่างไปได้สนิทใจ ข้างบนสุดก็ยังเป็นเรสเตอรองต์สไตล์หรูๆ โรแมนติกไว้รองรับอีกด้วย
บริการอื่นๆ ก็จะมีทั้งกิจกรรมคล้องกุญแจสำหรับคู่รัก ชมทิวทัศน์ผ่านกล้องส่องทางไกล หรือการนั่งเป็นแบบให้วาดภาพการ์ตูนก็มีให้เช่นกัน
ค่ำแล้ว บรรยากาศสวยงาม ทว่าแถวที่รอจะขึ้นรถรางขาลงก็ยาวมากเช่นกัน การรอที่ใช้เวลามากกว่าที่คาด ราว 2 ทุ่มได้ที่เราลงมาถึงด้านล่าง และใช้เวลารออีกนิดหน่อยเพื่อขึ้นรถบัสกลับมาตั้งหลักยัง Komtar อีกครั้ง จ่ายราคาเดิม คือ 2.0 RM ต่อคน
หาของทานแถว Lebuh Kimberley กันดีกว่า
ดูท่าจุดหมายที่จะไปช้อปปิ้งแถวๆ Gurney Drive ที่มีห้างอย่าง Gurney Plaza ที่เขาว่าของที่นั่นถูก ก็คงจะไปไม่ทันเสียแล้ว แพลนจึงเปลี่ยนเป็นไปหาที่ทานกันแถวๆ Chinatown นั่นแหละ เพราะมันไม่ได้ไกลมากนัก
ยังไม่ทันถึงได้โซนที่กะว่าจะไปให้ถึงดี เจอกับถนน Lebuh Kimberley ก็พบว่ามีร้านรวงที่ขายอาหารหลากหลายเมนู ผ่านร้านเครื่องดื่มร้านนึงที่ไม่สามารถจะจดจำชื่อร้านได้ เข้าไปสอบถามและแม่ค้าก็ใจดีให้ชิมชนิดเต็มแก้ว ซึ่งยังความประหลาดใจกับพวกเราอย่างมาก ก่อนจะตกลงใจนั่งทานในร้าน สรุปว่า ที่เราได้ลอง (try) นั่นก็ถูกคิดตังค์ด้วย แต่เมื่อมันอร่อยดี เจ้าของร้านก็หน้าตาและอัธยาศัยดี ทุกอย่างจึงผ่านฉลุย
มาถึงอาหารกันบ้าง ด้วยความหิวและความพยายามจะลองให้ได้มากที่สุด เราจึงไล่กันไปตั้งแต่…
Lok-Lok จะมีลักษณะเป็นไม้ๆ เสียบอาหารต่างชนิดกัน แต่ละไม้จะมีสีตามราคา เราเพียงเลือกไม้ที่ต้องการใส่จานแล้วนำไปลวก เขาจะมีน้ำจิ้มให้เลือก คนขายจะคิดตังค์ตามสีไม้ที่เราเลือกไว้
Rojak มันคือสลัดที่รวมผลไม้ชนิดต่างๆ ราดด้วยซอสข้นสีดำ ร้านนี้มีปลาหมึก และส่วนผสมบางอย่างที่เราก็ไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่มันอร่อยดีนะ 7.0 RM
ใกล้ๆ กันมีร้านที่รวมรถเข็นของอาหารหลายชนิดไว้ให้สั่ง แต่เขามีข้อแม้ว่าต้องสั่งเครื่องดื่มไม่เช่นนั้นจะต้องจ่ายเพิ่ม ที่นี่มีทั้ง Char Koay Teow (ซึ่งก็คล้ายๆ ผัดไทยที่เราคุ้นเคย), หอยทอด (Fried Oyster), บักกุ๊ดเต๋ (ที่เสิร์ฟพร้อมปาท่องโก๋ จะสั่งข้าวสวยด้วยก็ได้) ไปจนถึงหมี่เกี๊ยวต่างๆ (Mee Goreng)
ไปๆ มาๆ เราก็เลือกฝากท้องไว้กับแถวนี้นี่แหละ
แล้วก็พบว่า อาหารที่นี่มีรสชาติอร่อยมากกว่าแถว Komtar เสียอีก เดินเลยมาอีกหน่อย เราก็พบกับของหวาน พ่อค้าแม่ค้าที่นี่ดูอัธยาศัยดีเป็นพิเศษ ในที่สุดก็สั่งของหวานมาสามอย่าง
- Traditional Beancurd Barley มันคือน้ำเต้าหู้นี่แหละ ใส่อะไรเข้ามาสักอย่างที่ไม่รู้ว่าอะไร
- Ginkgo Snow Fungus Longan Soup มีทั้งแปะก๊วย ลำใย ถั่วแดง ใส่น้ำเชื่อมและน้ำแข็ง
- Red Bean Soup ถั่วแดงต้มรสชาติไม่หวาน
รสชาติของหวานที่ไม่หวานอย่างขนมไทย จนเข้าใจไปว่าคนที่นี่ไม่กินขนมที่หวาน แต่ยังไม่พอ ก๋วยเตี๋ยวไก่จากรถเข็นข้างๆ ยั่วยวนใจจนต้องสั่งมาลอง และนี่คงเป็นเมนูสุดท้ายของค่ำคืนนี้
เที่ยงคืนมาถึงเร็วอย่างไม่คาดคิด สี่สหายเดินกลับที่พักด้วยความรู้สึกเมื่อยเท้ามาก อยากนอนแต่ก็ต้องอาบน้ำแปรงฟัน และเตรียมชาร์จทุกอย่างให้พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้
ที่นี่ ปลั๊กจะเป็นแบบรูสี่เหลี่ยมสามตา ส่วนใหญ่มักใช้กับหัวชาร์จมือถือของเราได้ แต่ขอแนะนำให้หาอะแดปเตอร์ปด้วยเป็นการเผื่อ
ได้เวลานอนกันแล้ว ปิดท้ายบทความของวันแรกในปีนังกันด้วยภาพนี้ ทัศนียภาพของเมืองจากห้องพักในยามดึกของปีนัง
ตามไปอ่าน [เที่ยวปีนัง Day 2 | เที่ยวชมภาพสตรีทอาร์ตของเมืองมรดกโลก George Town]
1 คอมเมนต์