ในปีนี้ เรียกได้ว่าเป็นปีที่หนังระดับบล็อกบัสเตอร์ยุคสิบยี่สิบปีก่อนได้โอกาสกลับมาโลดเล่นให้แฟนหนังยุคนั้นได้กลับมาซึมซับย้อนวันกันอีกครั้ง หนังพวกนี้ไม่เพียงแต่เอาใจแฟนเก่าๆ เท่านั้น หากยังต้องทำตัวให้โดนใจแฟนรุ่นใหม่ๆ อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่า “ฅนเหล็ก” ก็ไม่พ้นต้องเดินผ่านความคิดนี้เช่นกัน วันนี้เราจึงได้พบกับ ‘Terminator Genisys ฅนเหล็ก มหาวิบัติจักรกลยึดโลก’ นั่นเอง
หลังจากมี ‘Terminator’ ภาคแรกในปี 1984 มันก็มีภาคต่อมาจนถึงภาค 4 ก่อนจะเงียบๆ กันไปด้วยเพราะมันไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรก็อาจเป็นได้ แต่พอเวลาเดินทางมาถึงปี 2015 แฟรนไชส์ฅนเหล็กก็กลับมาอีกครั้งในภาคที่ห้าที่ได้ผู้กำกับเป็น Alan Taylor เจ้าของผลงานการกำกับหนังอย่าง ‘Thor: The Dark World’
ในภาคนี้ดูเหมือนผู้เขียนบทจะพยายามยิ่งจะล้างไพ่เพื่อให้แฟนๆ ละลืมเรื่องราวที่ไม่น่าจดจำของภาคก่อนๆ ไปบ้าง แม้จะมีความเหมือนอยู่บ้างที่เป็นการย้อนเวลากลับไปเพื่อแก้ไขอดีต ซึ่งก็คือการฆ่าซาร่าห์ คอนเนอร์ (Emilia Clarke จาก ‘Game of Thrones’) มารดาผู้ให้กำเนิด จอห์น คอนเนอร์ (Jason Clarke จาก ‘Dawn of the Planet of the Apes’) ผู้นำมนุษย์เพื่อการต่อต้านเครื่องจักรกล แต่แตกต่างในด้านที่พยายามปรับเปลี่ยนล้างไพ่เรื่องราวต่างๆ เสียใหม่
เพราะเดาใจว่าผู้ชมก็คงจะไม่อยากจะได้อะไรเดิมที่เล่ากันซ้ำไปซ้ำมาอีกแล้ว
รีวิวหนัง ‘Terminator Genisys’
มนุษย์ผู้ตามมาช่วยเหลือซาร่าห์จากอนาคต เขาคือ ไคล์ รีส (Jai Courtney แห่ง ‘Divergent’ และ ‘Insurgent’) ชื่อที่คุ้นกันดีจากภาคก่อนๆ เมื่อเขากลับไปยังอดีตและได้พบบางสิ่งที่แตกต่างออกไป ซาร่าห์ไม่ได้อ่อนแอปวกเปียก แถมยังมีหุ่นสังหารที่ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ (Arnold Schwarzenegger) อยู่ไม่ห่าง
ไคล์ไม่ได้พบเพียงแค่หุ่นเหล็กโลหะเหลว (Lee Byung Hun) เพียงเท่านั้น เขายังได้พบว่า จอห์น ก็ย้อนกลับมาด้วยในสภาพที่แตกต่างไป
บางสิ่งไม่เหมือนที่เขาเคยได้ฟังมา เหมือนกับว่าอดีตได้เปลี่ยนแปลงไป พร้อมกับภารกิจที่มากกว่าที่คาดคิด นอกจากจะต้องมาลุยสุดตัวกับศัตรูตัวฉกาจ เขายังต้องสร้างอนาคตขึ้นมาใหม่อีกด้วย
หลังจากดูจบ พบว่านี่คือความพยายามที่น่าชื่นชมของทีมงานสร้างทั้งหมด ด้วยพยายามจะสรรหาเรื่องใหม่ๆ มาเดินเพื่อให้ต่างจากรอยเดิม โดยไม่ทิ้งหลายสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์กันมาและกลายเป็นที่จดจำของแฟนกลุ่มเดิม
แต่บางครั้งเจตนาที่ดีก็อาจลงเอยด้วยเรื่องราวที่ดูพยายามและซับซ้อนจนเริ่มจะต่อไม่ติด การเดินทางข้ามเวลากลับไปกลับมาเรียกได้ว่าพอจะทำให้คนดูมึนได้อยู่เป็นทุนเดิมแล้ว แต่ครั้งนี้ พวกเขาพยายามจะอธิบายว่าการเดินทางข้ามเวลานั้นสร้างอะไรที่แปลกใหม่มากกว่านั้น และพยายามร้อยเรียงมันให้ทุกอย่างมาบรรจบจนเป็นเรื่องราวเดียวกัน
ไม่ผิดหวังเท่าใดนักกับลีลาบู๊แอ็คชั่นของแต่ละตัวละครที่ทำให้ถึงเครื่องเท่าที่มันเคยเป็นมาสมัยภาค 1-2-3 แต่แม้เทคโนโลยีจะก้าวล้ำ มันกลับไม่ได้ตื่นตาตื่นใจเท่าที่ควร รึระหว่างที่เรารอคอยภาคใหม่ของคนเหล็ก
เราจะดูหนังแอ็คชั่นสนุกๆ กันมาจนเคยชินกับฉากพวกนี้กันไปแล้วกระมัง
จุดเด่นของ Terminator ในภาคนี้ก็คือการมี Emilia Clarke มาเล่นเป็น ซาร่าห์ คอนเนอร์ ด้วยความขาว สวย นัยต์ตาสีเขียวของเธอ ทำให้หนังเรื่องนี้มีอะไรดึงดูดในดูขึ้นมากมาย หนังใช้เทคนิคการสร้างภาพสมัยปัจจุบันซึ่งได้ภาพที่ออกมาสมจริงมากขึ้น เรนเดอร์ออกมาเป็นหนัง 3 มิติได้ค่อนข้างดี หลายฉากถือว่าภาพพุ่งเข้าตากันเลยทีเดียว พวกเขาจะพยายามจะปะติดปะต่อส่วนที่ดีที่สุดเข้าด้วยกัน จนอาจหลงลืมไปว่าเมื่อประกอบเข้าด้วยกันจนครบทุกชิ้นแล้ว มันอาจจะไม่ลงตัวขนาดนั้นก็ได้
การเป็นหนังดังในยุคก่อนก็อาจเป็นเรื่องยากลำบากในการคัมแบ็คกลับมาอย่างสง่างาม เพราะมันคงไม่อาจเอาใจคนทั้งสองรุ่นไปได้อย่างลงตัวและเท่าเทียม แต่ที่เห็นนี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว สำหรับการพยายามที่จะเดินทางใหม่ๆ ไม่ยอมที่จะย่ำรอยเดิม แต่น่าเสียดายที่…
ความสนุกของหนังจัดเต็มไว้ในหนังตัวอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว
ชื่อภาพยนตร์: Terminator Genisys / ฅนเหล็ก มหาวิบัติจักรกลยึดโลก
ผู้กำกับภาพยนตร์: Alan Taylor
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Laeta Kalogridis, Patrick Lussier, James Cameron (characters), Gale Anne Hurd (characters)
นักแสดงนำ: Arnold Schwarzenegger, Jason Clarke, Emilia Clarke, J.K. Simmons, Jai Courtney, Byung-hun Lee
ความยาว: 126 นาที
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Sci-Fi
อัตราส่วนภาพ: 2.35 : 1
เรท: ไทย/น13+ , MPAA/PG-13
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
ทุนสร้าง: $170,000,000 (โดยประมาณ)
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 2 กรกฎาคม 2558
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Paramount Pictures, Skydance Productions, UIP
ฅนเหล็ก มหาวิบัติจักรกลยึดโลก
Terminator Genisys - 7
7
Terminator Genisys
จุดเด่นของ Terminator ในภาคนี้ก็คือการมี Emilia Clarke มาเล่นเป็น ซาร่าห์ คอนเนอร์ ด้วยความขาว สวย นัยต์ตาสีเขียวของเธอ ทำให้หนังเรื่องนี้มีอะไรดึงดูดในดูขึ้นมากมาย หนังใช้เทคนิคการสร้างภาพสมัยปัจจุบันซึ่งได้ภาพที่ออกมาสมจริงมากขึ้น เรนเดอร์ออกมาเป็นหนัง 3 มิติได้ค่อนข้างดี หลายฉากถือว่าภาพพุ่งเข้าตากันเลยทีเดียว พวกเขาจะพยายามจะปะติดปะต่อส่วนที่ดีที่สุดเข้าด้วยกัน จนอาจหลงลืมไปว่าเมื่อประกอบเข้าด้วยกันจนครบทุกชิ้นแล้ว มันอาจจะไม่ลงตัวขนาดนั้นก็ได้