เกาหลีใต้ก้าวไปไกลมากขึ้นทุกที ยิ่งในเน็ตฟลิกซ์ พวกเขาเคยสร้างมาทั้งซีรีส์ซอมบี้เลื่องชื่อและหนังตะลุอวกาศ ครั้งนี้ พวกเขาทำซีรีส์ไซไฟอีกครั้ง แม้ไม่ได้ไปไกลเพราะอยู่แค่ดวงจันทร์ แต่โปรดักชันก็นับว่าดีไม่น้อย แถมยังมีนักแสดงนำระดับแม่เหล็กมาร่วมดึงดูดความสนใจ วันนี้ ‘The Silent Sea’ เข้าฉายออนไลน์แล้ว 8 ตอนรวด ชื่อไทย ‘ทะเลสงัด’ ช่างตรงตัวดีนักแล
อาจจะสงสัยในทีแรกว่าชื่อเรื่องมันเกี่ยวกับอะไร แต่ถ้าได้ดูซีรีส์จริง ๆ ก็จะรู้ ซีรีส์เรื่องนี้มีทั้ง กงยู และ แบดูนา ที่ร่วมแสดงนำ สบทบด้วยนักแสดงชาวเกาหลีใต้ที่คุ้นชื่อหลายคน กำกับโดย Choi Hang Yong ที่พัฒนามาจากหนังสั้นชื่อ ‘The Sea of Tranquility’
หลังรอมาเป็นเดือนๆ ก็ได้เวลามา รีวิวซีรีส์ ‘The Silent Sea’ กันซะทีนะ
‘The Silent Sea’ มันเกี่ยวกับอะไรกันนะ?
ในวันที่โลกเกิดวิกฤตภัยแล้งอย่างหนักหน่วง ฝนแทบไม่ตก แม้น้ำและทะเลเหือดแห้ง น้ำกลายเป็นทรัพยากรอันจำกัดสำหรับมนุษย์ผู้ยังเหลือรอด บัตรสีต่างๆ ถูกใช้เพื่อจำกัดปริมาณน้ำที่จะได้รับแบ่งปัน แต่จู่ๆ องค์กรอวกาศแห่งชาติกลับส่งลูกเรือกลุ่มเพื่อไปเก็บตัวอย่างบนสถานีวิจัยบัลแฮบนดวงจันทร์
คนในที่ถูกทาบทามร่วมภารกิจก็มีทั้ง ด็อกเตอร์ซงจีอัน (Bae Doo Na/แบดูนา จากหนังเรื่อง ‘Cloud Atlas’, ซีรีส์เรื่อง ‘Kingdom’ และ ‘Stranger’) นักชีวดาราศาสตร์ที่ตอบรับเพราะเธอมีเป้าหมายลับในใจตัวเอง เธอมีพี่สาวที่เสียชีวิตอย่างไร้สาเหตุแน่ชัดบนสถานีแห่งนี้ การไปย่อมหมายถึงโอกาสในการค้นหาคำตอบ
กัปตันฮัน – ฮันยุนแจ (Gong Yoo/กงยู จากซีรีส์เรื่อง ‘Goblin’ และหนังเรื่อง ‘Train to Busan’) หัวหน้าทีมในภารกิจนี้ หมอฮง – ฮงกายอง (Kim Sun Young/คิมซอยยอง) หัวหน้าทีมกง – กงซูฮยอก (Lee Moo Saeng/อีมูแซง) แล้วก็ยังมีผู้กองรยู – รยูแทซอก (Lee Joon/อีจุน) ชายผู้อาสามาร่วมภารกิจนี้ และลูกทีมอีกหลายคน ทั้งหมดคือทีมที่จะทำภารกิจร่วมกัน โดยได้รับข้อมูลเพียงน้อยนิด เพียงให้ไปเก็บตัวอย่างเท่านั้นแล้วเดินทางกลับโลก
โดยไม่รู้เลยว่า ที่นั่นมีอะไรรอพวกเขาอยู่
รีวิวซีรีส์ The Silent Sea ‘ทะเลสงัด’
เรื่องราวที่อิงได้กับโลกปัจจุบัน เราคงพอมองเห็นภาพได้ว่า โลกในอนาคตต้องเผชิญกับวิกฤติปัญหามากมายหลายครั้ง นอกเหนือจะประชากรล้นโลกจนเกิดปัญหาแย่งทรัพยากรแล้ว ปัญหาเรื่องสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนไปในทางเลวร้ายมากก็อาจเกิดขึ้นได้จนทำให้มนุษย์ต้องแบ่งสันปันส่วนทรัพยากร ซึ่งในที่นี้ก็เน้นไปที่ ‘น้ำ’ เพราะโลกหลายส่วนกลายเป็นทะเลทราย แม่น้ำที่ไร้น้ำ มนุษย์ต้องใช้บัตรสีต่างๆ ที่กลายเป็นเครื่องหมายของการแบ่งชนชั้น จู่ๆ พวกเขาก็ตั้งทีมหนึ่งขึ้นมาเพื่อบินไปยังสถานีวิจัยร้างบนดวงจันทร์และเก็บตัวอย่างกลับมายังโลก
มองเผินๆ มันดูไม่เกี่ยวอะไรกับโลกที่กำลังขาดแคลนน้ำสักนิด
ซีรีส์เริ่มต้นขึ้นด้วยการบอกเล่าสิ่งที่โลกและมนุษยชาติกำลังเผชิญ ก่อนจะสร้างความสงสัยในใจคนดูเกี่ยวกับภารกิจที่เห็นได้ชัดว่าถูกปิดบัง เมื่อไปถึงยังสถานีร้างบนดวงจันทร์ ก็ได้พบเจอหลักฐานที่พาสงสัยเพิ่มขึ้นไปอีก ศพที่เกลื่อนกลาด สภาพเหมือนจมน้ำมา มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่
นอกเหนือองค์กรที่ปิดบังความจริงกับพวกเขาแล้ว ทีมเขียนบทก็ยังวางให้ทีมนี้มี conflict เพื่อสร้างเรื่องราว กัปตันฮันผู้มุ่งมั่นในเป้าหมายของภารกิจ ไม่สนใจเรื่องอื่น แต่ด็อกเตอร์ซงคือคนที่มาเพราะการตายอย่างมีเงื่อนงำของพี่สาว แถมยังมีลูกทีมบางคนที่มีการเปลี่ยนตัวกะทันหัน สร้างความน่าสงสัยขึ้นมาอีก
เอาเข้าจริง การดำเนินเรื่องยังค่อนข้างเชื่องช้าอยู่พอประมาณ ใส่องค์ประกอบความน่าเคลือบแคลง ผสานดนตรี ชวนให้ซีรีส์ส่งผ่านความอึดอัดมายังผู้ชม เงื่อนงำความลึกลับผลักดันให้ผู้ชมยังคงเฝ้าดูต่อว่าความจริงคืออะไร เหตุใดสถานีวิจัยบัลแฮแห่งนี้จึงกลายสถานีร้างไปถึง 5 ปี ทั้งที่สร้างไว้เสียใหญ่โต
ทว่า ตัวเรื่องราวกลับชวนให้รู้สึกว่าผู้เขียนบทมีความมโนอยู่ในระดับที่สูง ต้นตอของเหตุร้ายดูมีความเหนือจินตนาการไปหน่อย
ไม่เพียงการมโนถึงสารตัวอย่างดูน่ากังขาแล้ว ซีรีส์ก็ยังชวนให้เราเห็นถึงความขัดแย้งในตัวเองของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ผู้มุ่งหมายจะช่วยเหลือโลกและมวลมนุษย์เข้าไป พวกเขาค้นพบความหวังใหม่ที่มาพร้อมอันตรายสุดขั้วที่พวกเขายังควบคุมไม่ได้ แต่จะนำมันกลับมายังโลก พวกเขาไม่คิดหน้าคิดหลังกันเลยหรือว่า มันจะยิ่งก่อหายนะต่อโลกแทน มันจึงถูกตั้งคำถามต่อความน่าเชื่อถือของเรื่องราวในใจคนดูก่อนจะจบลงเสียอีก
ระหว่างดู ก็พบว่าเรื่องราวบางส่วนมีความไม่สมเหตุผลแทรกอยู่ นั่งดูไปก็ถกกันไปว่า ทำไมตรงนี้มันเป็นแบบนี้หว่า มันไม่เป็นแบบนั้นเหรอ คาแรกเตอร์บางตัวถูกสร้างขึ้นมาราวกับต้องการสร้างความตื่นเต้น แต่กลับไม่ถูกนำมาขยายประเด็น [แต่ก็ไม่แน่ อาจเล่นก็ได้ถ้าเกิดมีซีซันสอง] ยิ่งใกล้จบ เงื่อนไขที่ดูไม่เม้กเซ้นส์บังเกิดขึ้นเพื่อจะนำไปสู่ไคลแมกซ์สร้างความตะขิดตะขวงใจให้เพิ่มขึ้น น่าเสียดายที่ซีรีส์มองข้ามเรื่องความสมจริงไป
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทีมงานทำได้ดีก็ยังพอมี
สิ่งที่นายแพทรู้สึกชื่นชมก็คงจะเป็นเรื่องงานสร้าง การออกแบบฉากที่ดูเชื่อได้ว่าเป็นสถานีวิจัยบนดวงจันทร์ [แม้มันจะใหญ่เกินความจำเป็นไปนิด] ห้องเล็กห้องน้อยที่สร้างขึ้นเพื่อรับใช้การดำเนินไปของเรื่อง นอกจากนี้ก็เห็นจะเป็นการตัดต่อผสานงานภาพที่ชวนให้รู้สึกอึมครึมและกดดัน พาให้คนดูอยากรู้และติดตามไปจนถึงตอนจบ แม้จะมีองค์ประกอบบางอย่างที่ดูขัดใจ ขณะที่ในด้านการแสดง ดูจะเกลี่ยความสำคัญไปที่นักแสดงสมทบมากหน่อย จึงมองไม่เห็นความโดดเด่นของสองนักแสดงนำมากนัก อาจเป็นความตั้งใจของทีมสร้างและผู้กำกับก็ได้เช่นกัน
มันมีความยาวเพียง 8 ตอน แถมออนแอร์พร้อมกัน ดูจนจบแล้วมาแสดงความเห็นถกเถียงกันได้นะครับ
รายละเอียดเกี่ยวกับซีรีส์
ชื่อซีรีส์ | The Silent Sea / ทะเลสงัด / 고요의 바다 |
ผู้กำกับ | Choi Hang Yong/ชเวฮันยง (เจ้าของผลงานหนังสั้น ‘The Sea of Tranquility’) |
ผู้เขียนบท | Park Eun Kyo/พัคอึนคโย (เจ้าของผลงานหนัง ‘Mother’) |
นักแสดง | Bae Doo Na/แบดูนา, Gong Yoo/กงยู, Lee Joon/อีจุน, Kim Sun Young/คิมซอนยอง, Lee Moo Saeng/อีมูแซง, Lee Sung Wook/อีซองอุค |
แนว/ประเภท | Adventure, Drama, Mystery, Sci-Fi, Thriller |
จำนวนตอน | 1 ซีซัน: 8 ตอน |
ช่องทางรับชม | Netflix |
เริ่มออกอากาศ | 24 ธันวาคม 2021 |
ผู้ผลิต/เจ้าของลิขสิทธิ์ | Artist Company, Netflix |
ทะเลสงัด
พล็อตและบท - 6.6
การดำเนินเรื่อง - 7
การแสดง - 7
ดนตรีประกอบ - 6.8
โปรดักชั่นและเทคนิคภาพ - 7.9
7.1
The Silent Sea
ซีรีส์ไซไฟ 8 ตอนจากเกาหลี ที่เล่าเรื่องของทีมเฉพาะกิจที่ทะยานขึ้นจากโลกไปลงดวงจันทร์เพื่อเก็บสารตัวอย่างที่สถานีวิจัยร้าง ก่อนพบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ถูกผู้จ้างวานปิดบังไว้ ซีรีส์ที่เล่าเรื่องโลกอนาคตที่ขาดแคลนน้ำ ไอเดียตั้งต้นดูเข้าที โปรดักชันงานสร้างก็น่าชื่นชม เดินเรื่องมาได้อึดอัดชวนติดตามพอประมาณอยู่ เสียดายความสมเหตุสมผลหลายอย่างที่บั่นทอนความสนุกของมันลงไป