ดูเหมือนเกมบางเกมที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก และได้รับโอกาสในการถูกสร้างเป็นซีรีส์ฉายทางสตรีมมิ่ง จะกลายเป็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากจนนายแพทอดใจไม่ได้ ต้องตามมาสมัคร HBO Go เพื่อรับชม ‘The Last of Us’ แม้จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของผู้เล่นเกม บทความนี้จึงบอกเล่าผ่านสายตาของผู้ที่รู้จักกับมันแบบคนที่เพิ่งเดินเข้ามาสัมผัส ไม่ใช่มุมมองของคอเกมแต่อย่างใด
อีกครั้งที่ เราจะได้พบกับการรับบทบาทนำของ Pedro Pascal หลังติดตามเขามา 2 ซีซันจากซีรีส์เรื่อง ‘The Mandalorian’ ครั้งนี้ โลกไม่ได้ถูกคุกคามโดยเหล่าซอมบี้ที่เกิดจากเชื้อไวรัส หากแต่ครั้งนี้ เราได้มาพบกับโลกที่ล่มสลายหลังการบุกยึดของเชื้อรา และมีตัวละครบางตัวกำลังเดินทางและเอาตัวรอดจากภัยคุกคามอันแสนร้ายกาจนี้
เอาล่ะ ได้เวลาแล้วที่เราจะบุกตะลุยโลกดิสโทเปียนี้ไปด้วยกัน
เรื่องย่อซีรีส์ ‘The Last of Us’
ซีรีส์ที่สร้างจากเกมเรื่องนี้ เล่าเรื่องช่วง 20 ปีหลังจากอารยธรรมสมัยใหม่ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง มนุษย์เหลือรอดน้อยมาก ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการกวาดล้างของเหล่าทหาร จนเหลือมนุษย์ที่แยกได้เป็นพวกใหญ่ๆ ได้ไม่กี่กลุ่ม ที่รู้จักกันทั่วก็คงเป็น เฟรดา พวกทหารที่พยายามควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อราและผู้ติดเชื้อ กับอีกพวกคือ ไฟร์ฟลาย กลุ่มกองกำลังที่รวมตัวกันเพื่อต่อต้าน
โจล มิลเลอร์ (Pedro Pascal จากหนังเรื่อง ‘Wonder Woman 1984’ และ ‘The Bubble’) คือหนึ่งในผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุเลวร้ายต่อมนุษยชาติครั้งนี้ เขาได้รับการว่าจ้างให้พาตัว เวโรนิกา เอลลี่ (Bella Ramsey จากซีรีส์เรื่อง ‘Game of Thrones’ และ ‘His Dark Materials’) เด็กหญิงอายุ 14 ปี ให้ออกจากเขตกักกันไปส่งยังที่แห่งหนึ่ง แต่การเดินเท้าของเขากับเอลลี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ตลอดเส้นทาง พวกเขาต้องพบเจอกับอันตรายต่างๆ นานา ความโหดร้ายและน่าสลดใจ ทั้งคู่จึงต้องร่วมมือและช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อเดินทางเพื่อเอาตัวรอดไปทั่วอเมริกา
รีวิวซีรีส์ ‘เดอะลาสต์ออฟอัส’
หลังได้ยินเสียงร่ำลือกันอย่างหนาหู ถือการรอคอยจะได้พบกับซีรีส์ที่สร้างขึ้นมาจากเกมดัง แถมยังดูเหมือนจะเคารพเนื้อหาที่อยู่ในเกมค่อนข้างมาก ทั้งมีนักแสดงนำที่ทุกคนรู้จักอย่าง เปโดร ปาสคาล ในที่สุด ก็อดไม่ได้ ต้องขอมาติดตามดูด้วยตัวเองทั้งที่ไม่ได้รู้อะไรมาก่อนเลยเกี่วกับเรื่องราวของเกมๆ นี้
กับไอเดียของเชื้อราที่ทำให้มนุษยชาติต้องพ่ายแพ้
ถ้าโลกนี้ไม่ได้ล่มสลายเพราะเหตุไวรัสที่หลุดมาจากแล็บทดลองของมนุษย์เอง แต่เป็นเพราะเชื้อราที่มีวิวัฒนาการอย่างเงียบๆ โดยที่มนุษย์โลกไม่ทันคาดคิดล่ะ ในโลกทุกวันนี้ เราก็คงจะเคยเห็นพวกแมลงที่มีลักษณะเหมือนกับซอมบี้ ที่ถูกเชื้อราเข้าควบคุมร่างได้ระยะหนึ่ง นั่นแหละ วันหนึ่งที่เราตื่นขึ้นมา ก็พบมันพัฒนาตัวเองขึ้นมาควบคุมร่างกายมนุษย์ได้แล้ว และเมื่อมนุษย์ไม่มีหนทางรักษา นั่นย่อมหมายถึงความพ่ายแพ้ ผู้คนมากมายต่างถูกเชื้อราควบคุมจนเหลือประชากรที่รอดพ้นน้อยลงอย่างมาก
จะว่าไปแล้ว ไอเดียของมันก็ใกล้เคียงที่เราเคยคุ้นอยู่เหมือนกันนะ เพราะซีรีส์บอกเล่าเรื่องราวที่มีจุดศูนย์กลางเป็นตัวละคร 2 ตัว โจล ผู้ชายที่สูญเสียลูกสาวคนเดียวในวันที่ทหารพยายามเข้าควบคุมเมือง แม้จะมีทอมมี่น้องชายแต่ก็พลัดพรากจากกันไป โจล จึงกลายเป็นชายที่โดดเดี่ยวมาก ขณะที่มนุษยชาติกำลังพ่ายแพ้ให้กับเชื้อรา ก็เกิดมีความหวังหนึ่งขึ้นมา เธอคือ เอลลี่
กับไอเดียของการสูญเสียลูกสาว แล้วต้องมาดูแลเด็กสาวอีกคน
ในวันที่เชื้อรากลายพันธุ์บุกยึดร่างมนุษย์ แม้โจลคือผู้เหลือรอด แต่เขาคือพ่อที่ต้องสูญเสียซาร่าห์ลูกสาวไป เธอคือหนึ่งในสองคนที่เขาเหลืออยู่ในชีวิต อีกหนึ่งคือน้องชายที่ต้องแยกจากกันไป สิ่งที่หลงเหลือไว้มีเพียงนาฬิกาพังๆ ที่ลูกสาวเคยเอาไว้ซ่อมให้ กลายเป็นสิ่งของไว้ดูต่างหน้า ในเวลานี้ เขาจำต้องเอาตัวรอดในสภาพที่ยากลำบากนี้ด้วยอาชีพรับจ้างหาเงินให้ได้มากที่สุด เพราะเขากำลังหารถและแบตเตอรี่เพื่อขับไปหาทอมมี่
แต่แล้วเขาก็กลับได้งานใหม่ งานนั้นคือต้องพาเด็กสาวที่ชื่อเอลลี่ไปส่งยังอีกที่หนึ่งโดยที่เขาไม่รู้ว่าเธอสำคัญอย่างไร และต่อมา ก็ได้มารู้ว่า เอลลี่ เป็นเด็กผู้หญิงวัย 14 ปี ที่เติบโตมากับพวกเฟดรา เคยถูกพวกติดเชื้อกัดแต่ร่างกายเธอควบคุมเชื้อได้ไม่กลายพันธุ์ และกลุ่มไฟร์ฟลายก็ต้องการจะทดลองเพื่อหาหนทางรอด จึงถูกมองเป็นความหวังในการรักษา เขาเดินทางออกจากคิวซีผ่านเมืองใหญ่ที่มีสภาพยับเยินไปพร้อมกับเทส (Anna Torv จากซีรีส์ ‘Mindhunter’ และ ‘Fringe’) ที่คนดูต่างก็รู้ว่า เธอคงไม่อาจร่วมไปได้ตลอดรอดฝั่ง
ความสัมพันธ์ของโจลและเอลลี่นั้น ค่อยๆ เข้าใกล้ความเป็นพ่อลูกมากขึ้นทีละนิด จากที่ดูไม่ค่อยลงรอยเท่าไหร่ เมื่อเดินทางร่วมกันนานขึ้นก็ยิ่งมองเห็นเคมีความเข้ากันได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้คิดไปว่า พระเจ้า(ถ้ามีจริง)คงจะส่งเอลลี่ให้มาทดแทนการสูญเสียลูกสาว ขณะเดียวกันเอลลี่ที่ไม่เคยได้รู้จักโลกนอกกำแพง ก็ได้เรียนรู้การสร้างสายสัมพันธ์ครั้งใหม่ กลายเป็นพ่อกับลูกสาวที่น่ารักน่าเอาใจช่วย อะไรประมาณนั้น
มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคนรักร่วมเพศ จนถูกบางกลุ่มกล่าวหาว่ายัดเยียด
เป็นซีรีส์ที่คอเกมต่างส่งเสียงว่าชื่นชอบกันเป็นอันมาก เพราะมันมีความเหมือนกับต้นฉบับเกมอยู่ไม่น้อยเลย ขณะเดียวกัน มันก็บอกเล่าเรื่องราวของตัวละครบางตัวที่มีรสนิยมชื่นชอบเพศเดียวกัน จนกลายเป็นเสียงโจษจันที่เห็นกันไปคนละทางขึ้นอยู่กับความเชื่อของตน หลายเสียงอาจบอกว่ายัดเยียด เพราะเวลาที่ซีรีส์ใช้กินไปเกือบทั้งตอน
เรื่องราวของบิลและแฟรงก์ ชายสองคนที่อาศัยอยู่ในบ้านนิรภัยในฐานะคู่ชีวิต จากวันที่พบเจอกันโดยบังเอิญ เริ่มต้นด้วยความแข็งกระด้าง สู่ความอ่อนโยน จากวันที่เคยเป็นคนแปลกหน้า กลายเป็นคนที่รักใคร่ ถูกบอกเล่าในเวลาส่วนใหญ่ของตอนๆ นั้น และมีเรื่องราวการผจญภัยของเอลลี่และโจลประกบหัวท้าย แต่ก็เป็นเรื่องราวที่ควรค่าแก่การถูกบอกเล่า
ความงดงามของความรักที่บังเกิดในช่วงเวลาที่มีแต่ความหม่นหมอง หดหู่และสิ้นหวัง อาจทำให้ซีรีส์แนวซอมบี้เชื้อราดูเดินไปอย่างเชื่องช้า ทว่าแท้จริงมันช่วยขับเน้นว่าความหวังและความธรรมดานั้นยังปรากฏอยู่ ทั้งกระตุ้นเตือนให้โจลได้หันมาให้ความสำคัญกับคนที่อยู่เคียงข้างอย่างไม่ลังเลใจ
และนี่คือสิ่งที่สัมผัสได้จากซีรีส์ ‘เดอะลาสต์ออฟอัส’
ในฐานะของคนที่ไม่ได้รู้เรื่องราวของเกมนี้มาก่อน การได้มาทำความรู้จักกันในครั้งแรกอาจกระท่อนกระแท่นไปบ้าง ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจฝั่งฝ่ายต่างๆ ต้องดูวนซ้ำสองรอบ จึงเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างที่อยู่ในนั้น ส่วนตัวมองเห็นว่า ซีรีส์มันมีไอเดียที่น่าสนใจดี แทนที่มนุษยชาติจะล่มสลายเพราะไวรัสที่ก่อให้เกิดซอมบี้ ก็เปลี่ยนเป็นว่ามันเกิดจากเชื้อรา ที่ก็ทำให้ร่างมนุษย์เกิดภาวะซอมบี้คล้ายๆ กัน และด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน เรายังรับมือกับมันได้ไม่ดีพอ แต่บทซีรีส์ก็เหมือนจะมองว่ามีหวังด้วยเพราะมีเด็กสาวคนหนึ่งที่ร่างกายเธอต่อต้านเชื้อราได้ และพระเอกของเรากลายเป็นคนที่คอยดูแลคุ้มครองเธอ
เรื่องราวของซีรีส์ยังคงดำเนินต่อไป กำแพงในใจเริ่มจะพังทะลายลง ความสัมพันธ์ของเอลลี่และโจลก็เริ่มจะแน่นแฟ้นขึ้น ภารกิจส่งตัวแปรเปลี่ยนเป็นการเดินทางเพื่อร่วมมือกันเอาตัวรอดและตามหาทอมมี่ แถมมันยังนำพาไปพบกับคนกลุ่มใหม่ๆ รวมทั้งเพื่อนร่วมทางคนใหม่ด้วย
น่าสนใจว่าอีกหลายตอนต่อจากนี้ พวกเขาจะเขียนบทอะไรให้เราได้เข้าไปสัมผัสกับโลกที่ล่มสลายด้วยเชื้อราว่ามีอะไรที่รออยู่ข้างหน้า โดยที่ไม่ต้องสนใจตัวเองว่าเคยเล่นเกมนี้มาก่อนหรือไม่
รายละเอียดเกี่ยวกับซีรีส์
ชื่อซีรีส์ | The Last of Us / เดอะลาสต์ออฟอัส |
ครีเอเตอร์ | Neil Druckmann, Craig Mazin |
นักแสดง | Pedro Pascal, Bella Ramsey, Gabriel Luna, Anna Torv, Melanie Lynskey, Merle Dandridge |
แนว/ประเภท | แอ็กชัน, ผจญภัย, ดราม่า, สยองขวัญ, ไซไฟ, ระทึกขวัญ |
จำนวนตอน | ซีซัน 1: 9 ตอน ซีซัน 2: N/A |
ช่องทางรับชม | HBO Go, HBO Max |
เริ่มออกอากาศ | 15 มกราคม 2023 |
ผู้ผลิต/เจ้าของลิขสิทธิ์ | Canadian Film or Video Production Tax Credit (CPTC), Government of Alberta, Naughty Dog, Home Box Office (HBO) |
เดอะลาสต์ออฟอัส
พล็อตและบท - 7.6
การแสดง - 7.8
การดำเนินเรื่อง - 8
เพลงและดนตรีประกอบ - 7.6
งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชัน - 8
7.8
The Last of Us
ซีรีส์จากเกมดังที่เล่าเรื่องโลกที่ล่มสลายหลังมนุษย์ต้องพ่ายแพ้แก่เชื้อรา พวกเขาติดเชื้อจนกลายร่างเป็นซอมบี้ มนุษย์ที่เหลือรอดแบ่งออกเป็นฝักฝ่าย ทางรอดคือเด็กสาวคนหนึ่งที่พระเอกต้องรับหน้าที่ไปส่งตัว ภารกิจส่งตัวแปรเปลี่ยนเป็นการเดินทางเพื่อร่วมมือกันเอาตัวรอด น่าสนใจว่าอีกหลายตอนต่อจากนี้ พวกเขาจะเขียนบทอะไรให้เราได้เข้าไปสัมผัสกับโลกที่ล่มสลายด้วยเชื้อราว่ามีอะไรที่รออยู่ข้างหน้า โดยที่ไม่ต้องสนใจตัวเองว่าเคยเล่นเกมนี้มาก่อนหรือไม่