ถ้าพูดถึงกรีซแล้ว ไม่ว่าใครก็คงคิดถึงทะเลสีคราม ทิวทัศน์บ้านเมืองดูโรแมนติก เงียบสงบและน่าไปเที่ยว รวมถึงเคยเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองในประวัติศาสตร์สำคัญหน้าหนึ่งของโลก แต่ที่ถ้าพูดถึงผลงานอย่างหนังและซีรีส์นั้น กลับไม่ค่อยได้มีโอกาสได้เสพกันสักเท่าไหร่ แล้วจู่ๆ เน็ตฟลิกซ์ก็เอาเรื่องนี้ขึ้นมาแนะนำ ‘Maestro’ ชื่อไทย ‘นักดนตรีเกาะสีคราม’ เห็นชื่อนักแสดงก็รู้แล้วว่าต้องเป็นผลงานจากกรีซ
เมื่อไปค้นหาข้อมูลก็พบว่านี่เป็นงานสัญชาติกรีกชิ้นแรกที่ได้อยู่ในบริการของ Netflix ถ่ายทำกันในสถานที่จริงตามที่ระบุไว้ในเรื่อง กับบรรยากาศทิวทัศน์งดงามตามแบบกรีซ แต่เรื่องราวนี่สิ ออกจะเคียดขึ้งจริงจังกันพอสมควรเลยทีเดียว คร่าวๆ แล้ว มันเป็นเรื่องครอบครัวหนึ่งที่ผู้ใหญ่ทำตัวเลวร้อย จนรุ่นลูกไม่อยากจะนับถืออีกแล้ว แต่แค่ในเวลานี้ พวกเขายังหนีไปไหนไม่ได้
แต่ทำได้ก็คือ หน้าร้อนนี้ลูกทั้งสองขอทำตัวขบถเสียหน่อยละกันนะ
เรื่องย่อซีรีส์ ‘Maestro’
ในช่วงที่โลกยังคงเผชิญกับภาวะโรคโควิด-19 ระบาด ผู้คนต้องสวมหน้ากากเวลาออกไปไหนต่อไหน โอเรสติส (Christopher Papakaliatis) ชายหนุ่มวัย 46 ที่เดินทางมายังปาโซส ประเทศกรีซ จุดมุ่งหมายของเขาก็คือเพื่อดูแลการจัดเทศกาลดนตรีบนเกาะอันสวยงาม เขาได้พบกับผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็น คลีเลีย (Klelia Andriolatou) สาวสวยวัย 18 ผู้ชอบจดบันทึกที่มีความสามารถทางด้านเปียโน เธอคือลูกสาวคนเล็กของ ฟานิส (Fanis Mouratidis) พ่อที่ร่ำรวยจากธุรกิจเรือยอชต์ท่องเที่ยว เป็นที่นับหน้าถือตาของคนบนเกาะ แถมมุ่งหวังจะเป็นนายกเทศมนตรีของเกาะเล็กๆ แห่งนี้ ฟานิสมีภรรยาชื่อ โซเฟีย (Marisha Triantafyllidou) ซึ่งก็คือแม่ของคลีเลีย ส่วนยายของเธอ ฮาริส (Haris Alexiou) ก็ดูจะมีความสุขกับการทำอาหารเสียเหลือเกิน และเป็นคนที่สอนเปียโนให้กับเธอนั่นเอง
อ้อ ที่จริงเธอก็มีพี่ชายอีกคน อันโตนิส (Orestis Chalkias) เขาเป็นหนุ่มที่กำลังสนิทสนมอยู่เพื่อนหนุ่มนามว่า สปีโรส (Yorgos Benos) แต่การคบหากันของพวกเขานั้น พวกผู้ใหญ่ไม่สนับสนุนเลยแถมยังต่อต้านอีกต่างหาก
เมื่อนักดนตรีคนหนึ่งเดินทางไปดูแลการจัดงานเทศกาลบนเกาะอันงดงาม เขาเริ่มต้นของความสัมพันธ์แบบต่างวัยกับคลีเลีย ขณะเดียวกัน เขาก็เข้าไปพัวพันกับปัญหาของคนรอบตัวบนเกาะแห่งนี้ด้วย
รีวิวซีรีส์ ‘นักดนตรีเกาะสีคราม’
มองเผินๆ มันเหมือนจะเป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องของเมืองเกาะอันสวยงามและผู้คนที่ชื่นชอบดนตรี แต่ไม่ใช่เลย มันบอกเล่าถึงสังคมที่เต็มไปด้วยเรื่องแย่ๆ ของผู้หลักผู้ใหญ่ที่แสดงตนเป็นคนหัวก้าวหน้า แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นพวกจอมปลอม หลอกลวง ทำเรื่องผิดกฎหมาย แต่แสร้งเป็นคนดีเพื่อหวังตำแหน่งสำคัญ ซีรีส์ยังเล่าไปถึงสังคมที่ยังคงมีความคิดกีดกันและเหยียดเกย์ ไม่ยอมรับการแตกต่างของรสนิยมทางเพศ ไม่เท่านั้น ท่ามกลางบ้านเมืองที่งดงามน่าไปเยือน ก็กลับเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น
ดูเหมือนการเล่าไปเรื่อยๆ เพื่อที่ทุกคนจะได้รู้จักทุกตัวละคร คงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่ เพราะมันยืดยาวไปเกินไป เอาเป็นว่า ผมเล่าแบบรวมๆ จะดีกว่า
เริ่มต้นนั้น มันพยายามจะเล่าให้ทุกคนได้รู้จักกับตัวละครต่างๆ ในเกาะแห่งนี้ ใครทำอะไร ใครคิดอย่างไร พี่น้องสองคนที่มองว่าตัวเองเป็นคนที่แตกต่างจากพ่อแม่ ไม่เคยรู้สึกภูมิใจในตัวพวกเขา แถมอยากหลีกหนีไปให้พ้นแต่ยังทำไม่ได้ แว้บนึง มันเป็นเรื่องราวการค้นหาตัวตนของเหล่าหนุ่มสาว ที่ต้องเผชิญกับการถูกบีบบังคับตามความเชื่อของผู้ใหญ่ อีกแว้บ มันก็เล่าหมดแหละ ทั้งเรื่องเด็กเรื่องผู้ใหญ่ ต่างวัยต่างก็พบเจอปัญหาของตน
มันคือเรื่องราวของความฟอนเฟะของสังคมที่แทรกซึมอยู่กลางธรรมชาติที่สวยงาม พ่อแม่ที่ดูเหมือนคนดีเฟรนด์ลีย์และร่ำรวย แท้จริงทำธุรกิจผิดกฎหมาย ฟอกเงินด้วยธุรกิจเรือยอชต์ที่ใช้เอาไว้ขนยาไปขาย เรื่องราวของผู้ใหญ่ที่ปากพูดว่ายอมรับได้เรื่องรสนิยมทางเพศ แต่แท้จริงกลับกีดกันสุดโต่ง เรื่องราวของผู้ใหญ่ที่คบชู้และซ่อนเร้นปิดบัง อีกด้านมันเล่าเรื่องของหญิงสาววัยรุ่นที่มีจิตใจตรงกันกับชายหนุ่มนักดนตรี แต่เพราะอายุที่ต่างกันเกือบ 30 ปีทำให้ไม่อาจเปิดเผยความสัมพันธ์
ซีรีส์ความยาว 9 ตอนที่บอกเล่าตอนแรกอย่างหลอกล่อเหมือนคนที่สนุกกับการปิดบังไว้เราเซอร์ไพรส์ ใส่ช็อตสั้นๆ ของฆาตกรรมไว้ตอนท้ายของทุกตอน และค่อยๆ เปิดเผยทีละอย่างในตอนต่อๆ มา จากนั้น ก็เล่าถึงการปฏิเสธตัวตนของพวกเขาเอง เพียงเพราะผู้ใหญ่เลือกจะไม่ยอมรับมัน เด็กๆ ได้แต่เขียนบันทึกให้ตัวเองอ่าน เพราะไม่รู้จะบอกสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่รับฟังได้ยังไง เวลาความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดจากผู้ใหญ่ ก็เป็นผู้ใหญ่ด้วยกันเองที่ช่วยกันปิดบัง
แต่ละตอน จะผัดเปลี่ยนไปเล่ามุมมองชีวิตของตัวละครตัวอื่น แต่ก็ยังคงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในทั้งสองบ้าน — บ้านของคลีเลีย-อันโตนิส และบ้านของสปิโรส
ความน่าสนใจของบทซีรีส์ ก็คือ มันเกลี่ยให้ทุกตัวละครมีความสำคัญ ต่างก็มีเรื่องราวและมุมมองของตนเอง นอกเหนือจากความยุ่งเหยิงทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้แล้ว ก็ยังเล่าถึงเพลงและดนตรีไปพร้อมๆ กันด้วย เพียงแต่ตอนสุดท้าย กรรมวิธีการเล่าพาให้งุนงงสับสนไปหน่อยเท่านั้นเอง อ่อ มีอีกสิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจ ถ้าลองสังเกตดูก็จะพบว่า นักแสดงบางคนก็ใช้ชื่อจริงในบทไปเลยด้วยซ้ำ
เรื่องราวจบลงอย่างเป็นปริศนา ราวกับจะทิ้งเอาไว้เพื่อไปต่อในซีซันสอง แต่ในความรู้สึกผม ไม่ว่ายังไง คนบนเกาะก็ยังคงมองครูดนตรีเป็นคนนอกสำหรับพวกเขาอยู่ดี เวลาเกิดปัญหาอะไร ก็มักจะกล่าวหาว่ามันเกิดเพราะเขา ทั้งที่ความจริงแล้ว ปัญหามันเกิดมีอยู่แล้วจากสิ่งที่ตกทอดมาและสิ่งที่เลือกทำอยู่ในปัจจุบันนั่นแหละ
รายละเอียดเกี่ยวกับซีรีส์
ชื่อซีรีส์ | Maestro / นักดนตรีเกาะสีคราม / Maestro in Blue / Le Blues du Maestro |
ผู้กำกับ | Christopher Papakaliatis, Akis Polizos |
ผู้เขียนบท | Christopher Papakaliatis |
นักแสดง | Christopher Papakaliatis, Klelia Andriolatou, Maria Kavoyianni, Fanis Mouratidis, Marisha Triantafyllidou, Haris Alexiou |
แนว/ประเภท | อาชญากรรม, ดราม่า, ลึกลับ |
จำนวนตอน | ซีซัน 1: 9 ตอน ซีซัน 2: 6 ตอน |
ช่องทางรับชม | Netflix |
เริ่มออกอากาศ | 17 มีนาคม 2023 |
ผู้ผลิต/เจ้าของลิขสิทธิ์ | Foss Productions, Netflix |
นักดนตรีเกาะสีคราม
พล็อตและบท - 7.5
การแสดง - 7.7
การดำเนินเรื่อง - 7.7
เพลงและดนตรีประกอบ - 8
งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชัน - 7.7
7.7
Maestro
ซีรีส์จากกรีซที่มีจุดเด่นด้านทัศนียภาพของเมืองเกาะที่ล้อมด้วยทะเลสีคราม เรื่องราวที่ครูดนตรีที่ถูกเชิญมาร่วมจัดเทศกาลดนตรี พบกับวัยรุ่นที่ปิ๊งกันจากนั้นก็พบว่า เกาะสวยๆ ที่นี่มีปัญหาหลายอย่างรุมเร้า ทั้งเรื่องผิดกฎหมาย คบชู้ ความรุนแรงในครอบครัว การไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องฆาตกรรม ที่มันต้องดูต่อก็เพราะอยากรู้ว่าตกลงมันเกิดเหตุฆ่ากันตายได้ยังไง แล้วใครกันที่ฆ่า... 9 ตอนเองครับผม