น้อยคนจะเคยมีประสบการณ์เฉียดตาย เราเลยไม่รู้ว่าพวกเขาได้พบเจอกับอะไร คนที่เคยผ่านมันมาต่างบอกเล่าเหมือนๆ กันว่า พวกเขาพบว่าตนหลงทางอยู่ในอุโมงค์มืดๆ และมองเห็นแสงสว่าง คังฟูลหยิบเอาสิ่งนี้มีเขียนเป็นเรื่องราวในซีรีส์ ‘Light Shop’ ที่บอกเล่าชีวิตที่ดิ้นรนอยู่ภายใต้การหลับใหลอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก เรื่องราวของคนผู้อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย และได้พบกับร้านโคมไฟที่สว่างไสวท่ามกลางความมืดมิด
คิดเห็นเช่นไรกับซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้?
ซีรีส์ยาว 8 ตอนจาก Disney+ Hotstar เรื่องนี้ เป็นผลงานการเขียนของ คังฟูล ผู้เขียน ‘Moving’ ที่เคยลือลั่นมาเมื่อปีก่อน ครั้งนี้หยิบเอาเรื่องของผู้ป่วยที่มีประสบการณ์เฉียดตายมาเขียน ให้พวกเขาผู้กำลังโคม่าในห้องไอซียูได้มีเรื่องราวของตนเอง โดยมีร้านโคมไฟที่อยู่ในซอยเปลี่ยวไร้แสง กับวอร์ดผู้ป่วยวิกฤติในโรงพยาบาลเป็นสองสถานที่หลัก
มันเล่าเรื่องให้ชวนขนลุกในครึ่งแรก ก่อนจะพาผู้ชมเสียน้ำตาให้กับชะตาชีวิตของพวกเขาในครึ่งหลัง
เรื่องย่อซีรีส์ ‘Light Shop’
ท่ามกลางซอยเปลี่ยวที่มืดมิด มีเพียงร้านโคมไฟของลุงจองวอนยอง (Ju Ji Hoon จากซีรีส์ ‘Love Your Enemy’ และหนังเรื่อง ‘Project Silence’) เพียงร้านเดียวเท่านั้นที่สว่างไสวเพราะลุงเปิดไฟไว้ทุกดวงจนมาเจิดจ้าอย่างสุดๆ ยามดึก จะมีผู้คนมากแวะเวียนเข้ามา ก็จะมีทั้งคนที่เป็นลูกค้าและบางสิ่งที่ไม่ใช่คน
แถวนั้นเป็นเหมือนพื้นที่ร้าง ไม่ค่อยมีผู้คนอยู่อาศัย มีทั้งอะพาร์ตเมนต์ โรงเรียน และแน่นอนว่า มีโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยยูจีนที่พยาบาลควอนยองจี (Park Bo Young จากหนังเรื่อง ‘Concrete Utopia’) ทำงานอยู่ เธอประจำอยู่ในวอร์ดคนไข้หนัก และเธอก็มักจะเห็นคนที่มีลักษณะแปลกๆ อยู่เป็นประจำ
ร้านโคมไฟที่สว่างไสวท่ามกลางซอยที่มืดมิด กับโรงพยาบาลที่มีวอร์ดผู้ป่วยวิกฤติจะเกี่ยวข้องกันยังไง ต้องติดตามซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้ให้จบ
รีวิวซีรีส์ ‘Light Shop’
หลังจากที่ Kang Pool ผู้เขียนเรื่อง ‘Moving’ สร้างปรากฏการณ์ด้วยซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จอันดับหนึ่งของ Disney+ เมื่อปีก่อน มาปีนี้ ก็สร้างปรากฏการณ์อีกหน แต่เปลี่ยนจากพูดถึงกลุ่มซูเปอร์ฮีโร่ที่มีพลังวิเศษเหนือมนุษย์ มาพูดถึงชีวิตที่อยู่ระหว่างความเป็นความตายแทน
หลากหลายตัวละครที่อยู่ระหว่างร้านโคมไฟและห้องผู้ป่วยหนักของโรงพยาบาล
เป็นซีรีส์ที่เริ่มเรื่องมาด้วยความหลอน เล่าเรื่องของตัวละครหลากหลายตัว ที่บ้างก็ดูเหมือนคนธรรมดา แต่บางคนกลับมีลักษณะและพฤติกรรมที่ชวนให้ขนลุก (แต่เอาเข้าจริงก็มีบางช็อตที่ชวนขำเหมือนกันนา) เริ่มกันที่
- คิมฮยอนมิน (Um Tae Goo จากหนังเรื่อง ‘Night in Paradise’) หนุ่มแว่นที่มักลงรถเมล์เที่ยวสุดท้ายมาเจอกับ อีจียอง (Seol Hyun จากซีรีส์ ‘Summer Strike’) หญิงผมยาวชุดขาวนั่งอยู่ที่ป้ายพร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่
- คังบยองจิน ชายอีกคนที่มักบ่นว่าหนาวและมีปัญหากับหมาเห่าอยู่ตลอดเวลา
- อีกคนก็เป็นลุงที่ถามหาห้องดับจิต
- แล้วก็ยังมี จูฮยอนจู (Shin Eun Soo จากซีรีส์ ‘Twinkling Watermelon’) นักเรียนหญิงที่ต้องไปซื้อหลอดไฟให้แม่เป็นประจำ
- พัคฮเยวอน (Kim Sun Hwa) ผู้หญิงร่างเปียกโชกผมยาวสวมรองเท้าแดง
- ยุนซอนแฮ (Kim Min Ha) หญิงสาวผมสั้นที่มาเช่าห้องราคาถูกเพื่อหาที่สงบเขียนนิยาย
- ฮอจีอุง (Kim Ki Hae จากซีรีส์ ‘Duty After School’) หนุ่มนักศึกษาที่กลัวมากจนต้องร้องเพลงตลอดซอย
- ยังซองชิก (Bae Sung Woo จากซีรีส์ ‘The 8 Show’) ตำรวจสายสืบที่มาตามหาคนร้าย
- หญิงที่ตายเพราะถูกไฟไหม้
- คนขายบะหมี่ที่ตาเหมือนแมว
- โอซึงวอน (Park Hyuk Kwon จากซีรีส์ ‘Behind Your Touch’) ลุงคนขับรถที่ยังวนเวียนอยู่กับความรู้สึกผิดพร้อมกับร่างที่เปียกโชก
- นอกจากนี้ ก็ยังเล่าถึง จองยูฮี (Lee Jung Eun จากซีรีส์ ‘The Frog’) ที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่ยังยื้ออยู่เพราะไม่อยากจะจากไปไหน
ทั้งหมดล้วนผ่านเข้ามาในซอยเปลี่ยวไร้แสงไฟ และพบเจอเข้ากับร้านขายโคม ซึ่งเป็นที่เดียวที่สว่างไสวเจิดจ้า และมีเถ้าแก่จองวอนยอง เจ้าของร้านผู้ชายที่ใส่แว่นกันแดดเฝ้าร้านอยู่เพียงลำพัง
และเมื่อดูซีรีส์นี้ไปสักพัก เราก็จะพบความสัมพันธ์ของร้านโคมไฟของลุงกับห้องไอซียูที่พยาบาลควอนทำงานอยู่ ซึ่งใน 2-3 ตอนแรก เราคนดูก็จะไม่รู้หรอกว่า สองที่นี้มันเกี่ยวข้องกันยังไง ต้องดูไปจนจบตอนที่สี่นั่นแหละ ถึงได้ร้องอ๋อ เข้าใจทันทีว่าทำไมเขาจึงเลือกฉาย 4 ตอนรวด
พื้นที่ที่อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย
สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้จาก 4 ตอนแรก ก็คือความคิดที่ว่า หมอและพยาบาลที่ประจำของวอร์ดผู้ป่วยวิกฤตินั้นไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าทำหน้าที่ดูแลพวกเขาให้ดีที่ดีสุด จะฟื้นหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับความตั้งใจที่จะมีชีวิตอยู่ของคนไข้เอง ทำให้ถูกตั้งคำถามกลับจากญาติคนไข้ว่า “แล้วหมอทำอะไรได้บ้าง?” ความจริงแล้ว เขาเป็นผู้ป่วยวิกฤติอยู่ในขั้นโคม่าจะมีความตั้งใจได้อย่างไรกัน
ตัวบทดูตั้งใจปลอบโยนคนที่ป่วยหนักทั้งที่พวกเขาคงไม่อาจได้ดูซีรีส์เรื่องนี้ บางส่วนพูดถึงการทำใจยอมรับการตายของตนเอง บอกพวกเขาว่าจะได้ไปยังที่ที่ดีและจะลืมทุกสิ่งที่นี่ พูดถึงความรู้สึกผิดในสิ่งที่ตนได้กระทำลงไปและพยายามจะปลดเปลื้องมันในช่วงเวลาสุดท้ายนี้ และก็พูดคนตายบางคนที่อยากเห็นคนที่ยังอยู่
บทซีรีส์เล่าถึง 2 พื้นที่ที่อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย ทั้งวอร์ดผู้ป่วยหนักและร้านขายไฟ ที่จะมีทั้งคนที่ตายและคนที่ยังไม่ตายแวะเวียนมา อีกทั้งมันยังหยิบเอาไอเดียของ ‘ประสบการณ์เฉียดตาย’ มาขีดเขียนเป็นเรื่องราว ประสบการณ์ของผู้คนที่ฟื้นขึ้นมาจากอาการโคม่า บอกว่าพวกเขามองเห็นอุโมงค์ที่มืดมิด มองหาแสงสว่าง และได้เจอกับคนที่พวกเขารักอีกครั้งหนึ่ง บทของเรื่องนี้เลยจัดให้ร้านโคมไฟเป็นเหมือนพื้นที่สว่างท่ามกลางความมึดมิดนั้น ค่อยส่องให้กับคนที่หลงทางเหล่านั้น
ซีรีส์ที่เริ่มต้นด้วยความหลอน แต่คลี่คลายด้วยดราม่าเคล้าน้ำตา
เรื่องราวถูกเขียนออกมาอย่างลึกซึ้ง แค่ต้องผ่านช่วงหลอนๆ ไปเสียก่อน ช่วงเริ่มต้นก็เหมือนเป็นการบอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนกลุ่มหนึ่ง พวกเขาบางคนก็ดูปกติดี ขณะที่บางคนกลับดูแปลกประหลาด ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่ากำลังอยู่ที่ไหน บ้างพบว่าตนติดอยู่ในวังวน เจอกับคนที่ไม่รู้จัก และไม่อาจหลุดออกไปจากที่แห่งนั้นได้สักที
พวกเขาพบที่ที่สว่างจ้าอย่างร้านโคมไฟแต่อาจไม่รู้ว่าที่นี่มีไว้ทำไม จึงยังได้แค่วนเวียนอยู่อย่างนั้น แม้คนดูจะรู้สึกหลอนปนน่ากลัว ที่มาพร้อมกับสไตล์การเล่าแบบเนิบช้า แต่ช่วงเวลาถัดมา ความหลอนก็แปรเปลี่ยนเป็นความสงสารปนเศร้าสะเทือนใจ
หลังจากเล่าถึงความเชื่อมโยงของสองสถานที่แล้ว บทของซีรีส์ก็เล่าย้อนหลังกลับไปเพื่ออธิบายความเป็นมาของแต่ละตัวละคร สาเหตุที่บางคนต้องมาอยู่ในห้องผู้ป่วยวิกฤติ เล่าถึงช่วงที่พวกเขายังเป็นคนปกติอยู่ และในระหว่างนั้น ก็แทรกหยิบความสัมพันธ์ที่ต้องปิดซ่อนของคู่รัก LGBTQ+ มาเล่า พูดถึงความสัมพันธ์ของหญิงสาวหูหนวกที่ถูกกีดกันจากครอบครัวของอีกฝ่าย และพ่อแม่ที่ต้องสูญเสียลูกที่แท้งไป อะไรพวกนี้เข้ามาด้วย
บอกเล่าความสัมพันธ์ของคนสองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นพวกที่นอนโคม่าแต่ล่องลอยอยู่ในความมืดติดอยู่วังวนเดิมๆ อีกกลุ่ม พวกเขาตายแล้วแต่ยังไม่ยอมจากไปไหน ไม่อยากตัดขาดกับโลกเดิมและยึดยื้อเอาไว้ ทั้งยังมีเวลาเหลือเพียง 3 วันเท่านั้นก่อนศพจะถูกนำไปทำพิธี ขณะที่คนที่ยังนอนโคม่าในโรงพยาบาล พวกเขายังอยู่ต่อได้ตราบเท่าที่ยังมีชีวิต
เรื่องราวที่เต็มไปด้วยการพลัดพรากและจากลานี้ ถูกบอกเล่าอย่างตั้งอกตั้งใจ แม้กระทั่งในการถ่ายทำ ที่บางตอนก็ถูกบอกเล่าด้วยสไตล์การถ่ายแบบลองเทค บางทีก็เหมือนเรื่องจะไม่มีอะไรให้เล่าแล้ว แต่มก็กลับพามาพบกับเซอร์ไพรส์จนได้ ทั้งพาเราเศร้าซึมและเสียน้ำตาให้
ซีรีส์ที่นำความรู้สึกนึกคิดของคนที่อยู่ระหว่างความเป็นความตาย มาขีดเขียนให้คนเป็นได้รู้ บอกเราว่าพวกเขายังคงเดินทางและดิ้นรนอยู่ในช่วงที่นอนเป็นผักอยู่บนเตียงในห้องไอซียู เรื่องราวที่ชวนเศร้าสะเทือนใจจนน้ำตาไหลครั้งแล้วครั้งเล่า ภาวนาและเอาใจช่วย ขอให้พวกเขาค้นหาแสงไฟของตัวเองในร้านแห่งนั้นให้เจอ
ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นโลกที่คนอยู่ไม่ใช่เหรอ?
ตัวบทระบุเหตุผลที่พยาบาลควอนมองเห็นคนที่อยู่ระหว่างความเป็นและความตายในขณะที่คนอื่นไม่เห็น เธอเคยประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้าห้องไอซียู ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาก่อน ทำให้เธอใช้ความพิเศษนี้ช่วยสร้างพลังใจในการมีชีวิตอยู่ต่อให้กับผู้ป่วยในวอร์ดของเธอ เป็นอีกครั้งที่เราได้เห็น พัคโบยอง รับบทเป็นพยาบาล
เรื่องราวปิดท้ายอย่างยืดยาวราวกับไม่อยากจบ ขนาดหลังเครดิตก็ยังมีอีกหนึ่งฉากแถมให้ จนสงสัยว่า “หรือเขาจะมีอีกซีซันกันนะ?”
รายละเอียดเกี่ยวกับซีรีส์
ชื่อซีรีส์ | Light Shop / 조명가게 |
ผู้กำกับ | Kim Hee Won/คิมฮีวอน (เจ้าของผลงานหนัง ‘Project Silence’ และซีรีส์ ‘Moving’) |
ผู้เขียนบท | Kang Pool |
นักแสดง | Ju Ji Hoon, Park Bo Young, Seol Hyun, Um Tae Goo, Lee Jung Eun, Kim Min Ha, Shin Eun Soo, Kim Sun Hwa, Kim Ki Hae, Bae Sung Woo, Park Hyuk Kwon |
แนว/ประเภท | ดราม่า, สยองขวัญ, ลึกลับ, ระทึกขวัญ |
จำนวนตอน | 1 ซีซัน: 8 ตอน |
ช่องทางรับชม | Disney+ Hotstar |
เริ่มออกอากาศ | 4 – 18 ธันวาคม 2024 |
ผู้ผลิต/เจ้าของลิขสิทธิ์ | Moving Pictures, Mr Romance |
คะแนนรีวิวซีรีส์ Light Shop
พล็อตและบท - 8.1
การแสดง - 8
การดำเนินเรื่อง - 7.7
งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชั่น - 8.1
เพลงและดนตรีประกอบ - 7.7
7.9
Light Shop
ซีรีส์ยาว 8 ตอนจาก Disney+ Hotstar เรื่องนี้ เป็นผลงานการเขียนของ คังฟูล ผู้เขียน 'Moving' ที่เคยลือลั่นมาเมื่อปีก่อน ครั้งนี้หยิบเอาเรื่องของผู้ป่วยที่มีประสบการณ์เฉียดตายมาเขียน ให้พวกเขาผู้กำลังโคม่าในห้องไอซียูได้มีเรื่องราวของตนเอง โดยมีร้านโคมไฟที่อยู่ในซอยเปลี่ยวไร้แสง กับวอร์ดผู้ป่วยวิกฤติในโรงพยาบาลเป็นสองสถานที่หลัก มันเล่าเรื่องให้ชวนขนลุกในครึ่งแรก ก่อนจะพาผู้ชมเสียน้ำตาให้กับชะตาชีวิตของพวกเขาในครึ่งหลัง