รีวิวซีรีส์ La Palma | ครอบครัวยุ่งเหยิงที่ต้องรอดจากเกาะภูเขาไฟ

ดูเหมือนว่า ช่วงนี้ คอนเทนต์ใหม่ในเน็ตฟลิกซ์จะมีแต่เรื่องที่เกิดในช่วงคริสต์มาส ซีรีส์นี้ก็เช่นกัน แต่เป็นแนวมหันตภัยจากทั้งภูเขาไฟระเบิดและสึนามิ เหตุเกิดที่เกาะชื่อ ‘La Palma’ หนึ่งในหมู่เกาะคานารี เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวอันสวยงาม ชายหาดที่มีแต่ทรายสีดำ มีตัวละครหลักเป็นครอบครัวที่มาท่องเที่ยวพักผ่อน กับนักวิจัยที่คอยเฝ้าระวังเหตุ ทั้งหมดล้วนเป็นคนนอร์เวย์ แต่เกาะแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศสเปน

คิดเห็นเช่นไรกับซีรีส์เรื่องนี้?

จุดเริ่มต้นที่สนใจก็คงเพราะตัวอย่าง ที่บอกเราว่ามันเป็นซีรีส์แนวเผชิญหน้ากับหายนะและตัวละครต้องเอาตัวรอดไปจากมัน มันเล่าเรื่องของหนึ่งครอบครัวที่น่าปวดหัว รวมไว้แต่เรื่องชวนขัดใจ ที่มาเที่ยวตากอากาศด้วยกัน แต่ดันเจอเหตุภูเขาไฟปะทุและสึนามิขนาดมหึมา กับนักวิจัยสาวที่พยายามเตือนทางการแต่กลับไม่มีใครใส่ใจ สุดท้ายต้องกระเสือกกระสนเอาตัวรอดเอง

ซีรีส์เรื่องนี้ยาวแค่ 4 ตอนเท่านั้น เล่าเรื่องหายนะได้พอสนุกอยู่ แต่บทค่อนข้างหัวจะปวด ตรรกะและไทมิ่งที่ชวนฉงน แต่ถือเป็นอะไรที่ดูฆ่าเวลาได้เพลินๆ อยู่กับบ้านได้ดี

เรื่องย่อซีรีส์ ‘La Palma’

มารี (Thea Sofie Loch Næss จากซีรีส์ ‘The Last Kingdom’) นักวิจัยทางธรณีวิทยาที่เพิ่งมาอยู่บนเกาะนี้ได้ไม่นาน เธอสังเกตเห็นเค้าลางความเปลี่ยนแปลงและเบาะแสที่เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุภูเขาไฟระเบิดที่น่าหวาดกลัว เธอมีเอริคน้องชายที่เคยซึมเศร้า มีเฮากูร์ (Ólafur Darri Ólafsson) เป็นเพื่อนร่วมงานร่วมท้วม และมีหัวหน้าเป็น อัลวาโร (Jorge de Juan จากหนังเรื่อง ‘The Brothers Grimsby’) ผู้ที่กังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นแต่ไม่กล้าตัดสินใจบอกกับผู้คนด้วยเพราะเหตุการณ์ในครั้งก่อน

ขณะที่ครอบครัวนอร์วีเจี้ยนอันประกอบไปด้วย เฟดริก (Anders Baasmo) กับเยนนีเฟอร์ (Ingrid Bolsø Berdal) สองสามีภรรยาที่กำลังพาลูกสาว ซาร่า (Alma Günther) และโทบิอัส (Bernard Storm Lager) ก็กำลังมาเที่ยวตากอากาศโดยพักโรงแรมบนเกาะแห่งนี้ในช่วงคริสต์มาส พวกเขาพกพาปัญหาภายในมาด้วย แต่ต้องมาเจอกับเหตุปะทุของภูเขาไฟลูกใหญ่ จะหนีเอาชีวิตรอดกันได้มั้ยนะ?

รีวิวซีรีส์ ‘ลา ปัลมา’

ถ้าไม่ได้รู้จัก ลา ปัลมา มาก่อน ก็อาจถึงขั้นต้องเปิดดูแผนที่ประกอบกันไปด้วย มันคือเกาะหนึ่งในหมู่เกาะคานารี ส่วนหนึ่งของสเปน อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา เกาะแห่งนี้มีภูเขาไฟลูกใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยหินและทรายสีดำตามลักษณะของเกาะภูเขาไฟที่เราคุ้นเคยกัน และในเรื่อง มันกำลังเกิดเหตุใหญ่ขึ้นอีกครั้ง อาการมันเริ่มตรงรอยแตกลึกที่เริ่มจะเผยอมากขึ้น ระดับก๊าซที่เพิ่งสูงขึ้นเช่นกัน 2-3 สัญญาณที่ส่งออกมา พาให้ทีมวิจัยผู้เฝ้าระวังมองว่ากำลังจะเกิดเหตุปะทุขึ้นอีกหนและควรต้องประกาศพร้อมเตรียมการรับมือ

บทของมัน ย่อมต้องเล่าถึงตัวละครกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากมัน ซึ่งทีมงานเขียนบทเลือกจะโฟกัสไปที่นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่ง ครอบครัวที่กำลังมาเที่ยวกันบนเกาะแห่งนี้ แถมพกพาปัญหาเข้ามาด้วย เฟดริก เป็นสามีที่หึงหวงเยนนิเฟอร์เมียรักเมื่อเห็นอาการของพนักงานโรงแรม ซาร่าลูกสาวที่รู้ว่าตนสนใจคบหาเพื่อนสาวคนใหม่ และโทบิอัสลูกชายคนเล็กที่เป็นเด็กพิเศษ เป็นครอบครัวที่วุ่นวายยุ่งเหยิงไม่หยุดหย่อน และดันมาอยู่บนเกาะภูเขาไฟที่กำลังปะทุขึ้น

เหตุคร่าวๆ ที่เราได้รู้คือมันเคยปะทุมาก่อน และเมื่อมันเกิดขึ้นอีกครั้ง นักวิจัยรู้แน่ว่าจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ เมื่อภูเขาไฟปะทุ หินมากมายอาจไถลลงทะเล และก่อให้เกิดสึนามิขนาดมหึมา แต่ดูเหมือนหัวหน้านักวิจัยผู้กังวลและคนใหญ่คนโตที่นั่น ไม่เต็มใจจะเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้

สิ่งที่พอมองเห็นก็คือ บทซีรีส์มีความพยายามจะเชื่อมโยงไปถึงเหตุสึนามิเมื่อปี 2004 เพราะตัวละครมารีเคยเป็นเด็กน้อยที่ต้องสูญเสียพ่อแม่ในวันเผชิญภัยน้ำทะเลทะลักที่เมืองไทยโดยไม่มีการเตือนภัยที่ดีเพียงพอ

ขณะที่ความสัมพันธ์ของเหล่ามนุษย์ในเรื่องนี้ดูยุ่งเหยิงและน่าปวดหัว โดยเฉพาะตัวละครครอบครัวนอร์วีเจี้ยน ที่ต้องเน้นหนักกับตัวลูกสาวผู้ทำอะไรขัดใจคนดูอย่างเราตลอดเวลา ขณะที่คนของทางการก็ไม่แพ้กันเพราะมองว่าสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญนำมาบอกเป็นเรื่องไร้สาระเกินไป แม้แต่บทของตัวมารีเอง บางฉากก็ดูไม่ค่อยสมเหตุผลเช่นกัน

ทว่าตัวละครที่ดูมีหัวคิดมากสุด กลับเป็น เยนส์ (Thorbjørn Harr จากซีรีส์ ‘Vikings’ และหนังเรื่อง ‘The Last King’) พี่ชายของเยนนิเฟอร์ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานระดับสูงในนอร์เวย์ เขาต้องหาทางทำให้น้องสาวและครอบครัวกลับออกมาอย่างปลอดภัย

2 ตอนแรกเหมือนเป็นการเตือน ผู้ชมจึงได้มองเห็นทัศนียภาพสวยๆ ของเกาะลา ปัลมา ที่ชักชวนให้รู้สึกอยากไปเยือนดูสักครั้ง ขณะที่ 2 ตอนหลังคือช่วงเวลาระทึก ภาพหายนะครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น เทคนิคพิเศษต่างๆ ชวนตื่นตาและลุ้นระทึกไปว่า ตัวละครจะเอาตัวรอดไปได้หรือไม่ แม้บางส่วนมันจะดูเว่อร์ๆ ไปบ้าง แต่บทคือหายนะของจริง ไทมิ่ง จังหวะเวลา มันดูเกินจะเชื่อไปพอสมควร

สิ่งที่เป็นได้สำหรับซีรีส์ยาว 4 ตอนเรื่องนี้ก็คงเป็นการรับชมแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ลุ้นระทึกตามเรื่องตามราวไปอะไรแบบนั้นเลย

รายละเอียดเกี่ยวกับซีรีส์