รีวิวซีรีส์ Heartstopper เธอทำให้ใจฉันหยุดเต้น | รักวุ่นวายในโรงเรียนชายล้วน

ซีรีส์ใหม่ๆ ในเน็ตฟลิกซ์ยังคงดาหน้ามาให้เราได้รับชมกันเรื่อยๆ บางเรื่องก็เล่าเรื่องหนักๆ ให้กลายเป็นเรื่องเบาๆ ได้เก่ง อย่างเช่นเรื่องนี้ ‘Heartstopper’ ชื่อไทย ‘เธอทำให้ใจฉันหยุดเต้น’ เนื้อแท้ของมันบอกเล่าถึงการดิ้นรนของคนรักร่วมเพศที่ต้องอยู่ท่ามกลางการบูลลี่และความไม่เปิดรับของผู้คน แต่มันถูกนำเสนอออกมาให้ดูง่ายจริงๆ

ซีรีส์ที่มีความยาวของตอนไม่มากไม่มาย แถมมีแค่ 8 ตอนในซีซันเดียว ดูวันนึงก็จบแล้ว แต่ผมกลับเลือกที่จะค่อยๆ ดู กว่าจะได้หยิบมาเขียนก็อาจจะช้ากว่าหลายๆ คนไปแล้ว แต่เมื่อมองเห็นว่ามันมีแง่มุมที่น่าสนใจ แถมยังดูง่าย เข้าใจง่าย แม้ไม่มีกระแสแต่ก็น่าหยิบมาเขียนถึง

เอาเป็นว่า เรามาเริ่มกันที่เรื่องย่อกันก่อนเลยครับ

เรื่องย่อซีรีส์ ‘Heartstopper’

เรื่องราวมันเล่าถึงกลุ่มเพื่อนสี่คนกลุ่มหนึ่ง อันประกอบไปด้วย ชาร์ลี สปริง (Joe Locke) หนุ่มเนิร์ดร่างเล็กแต่วิ่งเร็ว, เทา (William Gao) หนุ่มร่างโย่งคนที่รักเพื่อน, ไอแซค (Tobie Donovan) หนุ่มร่างท้วมคนที่เงียบใจดี ทั้งสามคนเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมชายล้วน และ แอลล์ (Yasmin Finney) สาวคนเดียวในกลุ่มที่ย้ายไปอยู่โรงเรียนหญิงล้วน ทำให้พวกเขากลายเป็นกลุ่มทรีโอ

ชาร์ลี สปริง เป็นเด็กหนุ่มท่าทางเนิร์ดจากโรงเรียนทรูแมนผู้คัมเอาท์ไปเรียบร้อยแล้ว เขาคบอยู่กับ เบน โฮป (Sebastian Croft) แต่ก็บังเอิญได้นั่งข้างชายหนุ่มหล่อใจดีนักรักบี้ดาวเด่นที่ชื่อ นิค – นิโคลัส เนลสัน (Kit Connor จากซีรีส์ ‘His Dark Materials’) ความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมา ยิ่งเมื่อนิคชักชวนเข้าร่วมทีมรักบี้ ความสนิทสนมพาให้ยิ่งใกล้ชิดและหัวใจของเขาก็ยิ่งถลำลึกลงไปทุกที

รีวิวซีรีส์ ‘เธอทำให้ใจฉันหยุดเต้น’

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในรั้วโรงเรียน แถมจำเพาะเจาะจงไปที่โรงเรียนมัธยมชายล้วน เรื่องราวที่หมุนอยู่รอบ 2 ตัวละครนำ ชาร์ลี และ นิค หนึ่งคือเด็กหนุ่มผู้ที่ทุกคนต่างรู้กันหมดแล้วว่าเขาเป็นเกย์และชอบผู้ชาย รูปร่างผอมและไม่น่าจะเหมาะกับกีฬารักบี้ แต่นิคกลับชวนเข้าร่วมทีม สำหรับนิคนั้น ภาพลักษณ์ของเขาคือชายที่รักหญิง เป็นหนุ่มนักกีฬาที่มีเพื่อนที่คิดว่าตัวเองแมนๆ แต่แท้จริงเป็นพวกเหยียดพฤติกรรมรักร่วมเพศ

แล้วนิคก็พบว่าตัวเองเริ่มจะคิดอะไรกับชาร์ลี จึงรู้สึกสับสนในตัวเองอยู่ไม่น้อย

ซีรีส์ที่ดัดแปลงจากหนังสือเรื่องนี้บอกเล่าอย่างสว่างใสในช่วงเริ่มต้น ความรักที่ก่อตัวและผลิบานอย่างรวดเร็วถูกถ่ายทอดด้วยสีสันแบบวัยรุ่น ช็อตที่เขามโนขึ้นในหัว ช็อตระหว่างที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน การ์ตูนเคลื่อนไหวที่ประกอบเหตุการณ์ส่งเสริมให้คนดูได้รับรู้ฟีลลิ่งในแบบดับเบิล

หนังสือเล่มนี้มีขายในฉบับภาษาไทยด้วยนะครับ คลิกซื้ออ่านกันได้เลย!

เรื่องราวในซีรีส์จำนวน 8 ตอนในซีซันแรกนี้ ก็ไม่ได้เล่าแค่เรื่องของสองหนุ่มเท่านั้นหรอกนะ ในนี้ยังมีหลากหลายเคสที่เกิดขึ้นกับพวกเขาชาว LGBTQ ไม่ว่าจะเป็น เด็กหนุ่มที่เป็นเกย์แต่ไม่กล้าเปิดเผยและต้องปิดบังคนอื่นด้วยการคบสาวบังหน้า คนที่ตลอดมาคิดว่าตนชอบผู้หญิงมาตลอด ก่อนจะพบว่าตัวเองน่าจะเป็นไบเซ็กชวล คนที่แอบเผลอใจให้กับเพื่อนสนิทแต่ก็พยายามเก็บงำเพื่อรักษาความสัมพันธ์แบบเพื่อนเอาไว้ อีกทั้งยังเล่าเรื่องรักของหญิง-หญิงในโรงเรียนหญิงล้วนที่ประสบกับปัญหาถูกเหยียดทันทีที่ประกาศตัวอีก ไม่พอ ยังเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนอีกด้วยนะ

ซีรีส์แสดงให้เราเห็นถึงความยากลำบากของคนที่อยากเป็นตัวของตัวเอง ต้องดิ้นรนอยู่ในสังคมที่ยังไม่เปิดรับอย่างแท้จริง หลายคนรู้ตัวแต่ไม่กล้าเปิดเผยตัวตน หลายคนออกมาเปิดเผยเพื่อหวังจะกำจัดความอึดอัดที่มีแต่ก็กลับต้องเผชิญกับสายตาที่เสียดแทงและคำพูดที่บั่นทอน

ทั้งที่ก่อนหน้าจะคัมเอาท์ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร

นอกจากนี้ คนรอบข้างเด็กๆ ก็เป็นส่วนสำคัญยิ่งในอันที่จะพาพวกเขาก้าวผ่านพ้นความยากลำบากนี้ ไม่ว่าจะเป็น ครูในโรงเรียน บางคนค่อนข้างเข้าใจเด็ก รู้ว่านักเรียนบางคนประสบปัญหากับการรับมือ ความเข้าใจของครูสร้างความอุ่นใจยามอยู่ในโรงเรียนของพวกเขาได้ คนที่บ้านก็เช่นกัน อย่างนิค เขามีแม่ชื่อซาราห์ (Olivia Colman จากหนัง ‘The Lost Daughter’ และซีรีส์ ‘The Crown’) ที่พยายามทำความเข้าใจ แต่อีกด้านนี่สิ ฮูลิโอ (Joseph Balderrama) พ่อของชาร์ลีที่แม้ไม่ค่อยจะพูดจากับลูกเท่าไหร่ แต่ดูจะใส่ใจและเข้าใจลูกของตัวเองดี

ขณะที่เพลงประกอบก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้น่าดูมากขึ้น แถมยังทำให้รู้สึกว่าเรื่องรักของพวกเขามันช่างวัยรุ่นเสียจริง แม้คนดูจะอายุเลยไปมากแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเข้าถึงพวกเขาได้อยู่

ความเข้าถึงง่ายของซีรีส์ น่าจะช่วยทำให้หลายคนเข้าใจในความยากลำบากที่พวกเขาต้องเผชิญ การใช้ชีวิตในแบบ LGBTQ ที่หลายคนในสังคมยังไม่ยอมรับ(อย่างแท้จริง) ปากบอกยอมรับ แต่จิตใจยังไม่ หลายคงถึงขั้นเหยียด หยิบมาบูลลี่ ทำให้พวกเขารู้สึกไม่กล้าจะเปิดเผยความเป็นตัวเอง

แม้แต่ในสังคมอเมริกันที่เราคิดว่าน่าจะเปิดมากกว่าในไทย ก็ยังคงมีเรื่องแบบนี้อยู่เรื่อยมา

รายละเอียดเกี่ยวกับซีรีส์