เมื่อได้ยินข่าวว่า สุดยอดดาราแอ็คชั่นสตาร์ในอดีต ผู้เคยผันตัวไปเล่นการเมืองมาพักใหญ่ กำลังจะกลับมาในซีรีส์ทาง Netflix ก็ทำให้รู้สึกถึงความน่าสนใจขึ้นมาในทันที เฝ้ารอจนวันที่ซีรีส์เรื่องนี้ ‘FUBAR’ เริ่มสตรีมฉายออนไลน์บนหน้าจอทีวี เมื่อนั้น นายแพทก็เริ่มเปิดดูแล้วถึงเวลามานั่งเขียน รีวิวซีรีส์ FUBAR ในวันนี้นี่แหละครับ
อ้อ ผมลืมเอ่ยชื่อของเขาไป อาร์โนลด์ ชวาเซเนกเกอร์ คือนามของแอ็คชันสตาร์คนนั้น จากที่เคยเป็นคนเหล็กที่ย้อนเวลากลับมาเพื่อช่วยหนุ่มน้อยและหยุดยั้งความวินาศ เขารับบทมาหลายหลาก แต่การกลับมาครั้งนี้ เขาจะสวมบทบาทเป็นซูเปอร์สปาย สุดยอดสายลับที่แก่จนมองว่า ถึงเวลาที่เขาต้องเกษียณจากอาชีพนี้สักที แต่ก็เช่นเคย ตัวละครสายลับมักไม่เคยถูกให้โอกาสในการเกษียณ
เมื่อมีเหตุให้เขายังคงต้องอยู่ในบนเส้นทางของการเป็นสายลับอย่างไม่อาจเลี่ยง
เรื่องย่อซีรีส์ ‘FUBAR’
ซีรีส์เรื่องนี้ พูดถึง ลุค บรุนเนอร์ (อาร์โนลด์ ชวาเซเนกเกอร์/Arnold Schwarzenegger จากหนังเรื่อง ‘Terminator: Dark Fate’, ‘Escape Plan’ และอีกมากมาย) ผู้เป็นทั้งคุณพ่อของเอมม่า (โมนิกา บาร์บาโร/Monica Barbaro จากหนังเรื่อง ‘Top Gun: Maverick’) ลูกสาวแสนสวยนักสีไวโอลิน ที่ใช้ชีวิตอยู่กับการเป็นสายลับให้กับ CIA มานานมาก ต้องรักษาความลับในอาชีพของตัวเองมานาน จนทำให้จำใจต้องหย่าขาดจาก แทลลี่ บรุนเนอร์ (ฟาเบียนา อูเดนิโอ/Fabiana Udenio จากซีรีส์เรื่อง ‘Jane the Virgin’) ภรรยาสุดที่รัก ซึ่งก็ส่งผลต่อความรู้สึกของเอมม่าอยู่ไม่น้อยเลย
ในวันที่เขาตั้งใจจะเกษียณตัวเองจากอาชีพนี้เสียที ก็กลับได้พบว่า ตนต้องไปทำภารกิจสุดท้ายเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ที่ฝังตัวอยู่ในพื้นที่ แต่เขากลับได้พบว่า แท้จริงแล้ว เจ้าหน้าที่คนนั้นคือ เอมม่า ลูกสาวคนสวยของตนนั่นเอง
เอมม่าเองไม่ชอบใจที่พ่อหย่ากับแม่เพราะพ่อไม่เคยให้เวลากับครอบครัว ส่วนตัวเธอก็คบหาอยู่กับคาร์เตอร์ (เจย์ บารูเชล/Jay Baruchel จากหนังเรื่อง ‘This Is the End’) ที่ลุคเองก็คอยเตือนไม่ให้เธอถลำลึกถึงขั้นแต่งงาน แต่ไม่ว่ายังไง ในที่สุด สองพ่อลูกก็ต้องมาปฏิบัติภารกิจสายลับร่วมกัน ทำให้ปัญหาคาใจที่คาราคาซังต้องถูกขุดขึ้นมาระหว่างการทำงานอยู่เนืองๆ
รีวิวซีรีส์ ‘ฟูบาร์’
ฟังจากเรื่องย่อแล้ว มันก็มีความเป็น ‘True Lies’ หนังดังเมื่อปี 1994 ของลุงอาร์โนลด์เหมือนกันนะ ซึ่งก็ใช่ครับ เพราะดูเหมือนผู้สร้างก็ตั้งใจจะหยิบไอเดียในแบบนั้น มาสร้างเป็นซีรีส์ความยาว 8 ตอน ที่บอกเล่าเรื่องของสองพ่อลูกที่ต้องมาปฏิบัติภารกิจซีไอเอร่วมกัน ทั้งๆ ที่ยังมีปัญหาคาใจที่เป็นเรื่องภายในครอบครัว
ครอบครัวที่ไม่รู้ว่าพ่อบ้านเป็น CIA และไม่คาดคิดว่า ลูกสาวก็เป็น CIA
เจ้าหน้าที่ภาคสนามของซีไอเอ คงเป็นอาชีพที่ ลุค บรุนเนอร์ รักมาก เขาทำงานนี้มานานจนถึงปัจจุบัน โดยที่ปิดบังครอบครัวไม่ให้ล่วงรู้ได้แนบเนียนเหลือเชื่อ แต่ว่าการที่นานๆ ที เขาจะกลับบ้านมาเจอหน้าภรรยา ก็ทำให้วันหย่าร้างเดินทางมาถึง ซึ่งก็ทำให้เอมม่าลูกสาวไม่ค่อยประทับใจในตัวพ่อสักเท่าไหร่ ทว่า การที่พ่อต้องมาทำงานสำคัญอย่างการสืบราชการลับระดับโลก แล้วต้องมาเจอว่า เอมม่าเองที่คบอยู่กับคาร์เตอร์ก็ปิดบังการเป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอของตัวเองเช่นกันเนี่ย ก็สร้างความเซอร์ไพรส์ให้ลุคไม่น้อยเลย
เพราะพ่อเองก็ไม่อยากให้ลูกต้องลงเอยหย่าร้างแบบเดียวกับตน แถมในการปฏิบัติหน้าที่ของสายลับ มันก็ต้องมีภารกิจย่อยบางอย่างที่พ่อไม่สบายใจจะให้ลูกทำ ลุคก็เลยต้องทำตัวเป็นพ่อที่ห่วงลูกสาวตลอดเวลา
พร้อมกันนี้ สองพ่อลูกก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับทีมงานอย่าง แบร์รี่ (มิลาน คาร์เตอร์/Milan Carter) หนุ่มเนิร์ดที่ชอบเป่าโอโบ ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ CIA ที่สนิทชิดเชื้อกับเอมม่า เพราะเธอเรียกเขาว่า ‘น้า’ นั่นเอง น้าแบร์รี่ก็ดูจะชอบใจในสาวแว่น ทีน่า (Aparna Brielle) ที่เป็นสาวเนิร์ดจากเอ็นเอสเอ คอยช่วยแกะรอยทุกอย่างให้ นอกจากนี้ก็ยังมี รู (Fortune Feimster) เจ้าหน้าที่สาว LGBTQ+ ร่างอวบที่แพ็คคู่มากับคู่หู อัลดอน (เทรวิส แวน วิงเคิล/Travis Van Winkle) เจ้าหน้าที่ CIA สุดหล่อที่ดูจะติดใจเอมม่าอยู่หน่อยๆ ด้วย
ก็นี่มันซีรีส์สายลับแนวครอบครัวนี่นา
ดูจากตัวอย่าง อาจจะเข้าใจว่าหนังจะมีความแอ็คชันสูง แต่เอาเข้าจริง มันค่อนข้างมีพาร์ทดราม่าของครอบครัวใส่เข้ามาเยอะพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการที่สองพ่อลูกต้องปิดบังครอบครัวว่างานที่แท้จริงคืออะไร พ่อเองก็ไม่ได้ระแคะระคายอะไรเลยที่ลูกสาวตัวเองก็เป็นซีไอเอ การที่ลุคต้องหย่าร้างเพราะไม่อาจให้เวลาและความสำคัญกับครอบครัวได้มากพอ จนต้องปรามลูกสาวว่าอาจต้องประสบชะตากรรมเช่นเดียวกัน หรือการที่ต้องเสน่ห์หว่านล้อมเพื่อเข้าถึงข้อมูล รวมไปถึงการใช้เซ็กส์เป็นไปเบิกทางให้กับภารกิจ มันก็ทำให้คนเป็นพ่อต้องกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยเช่นกัน
แถมการปฏิบัติภารกิจสายลับของคนในครอบครัวเนี่ย มันมีผลต่อการทำงานนะ แทนที่จะโฟกัสในภารกิจเสี่ยงตายตรงหน้า กลับมาถกเถียงกันจนงานผิดพลาด อะไรแบบนี้เป็นต้น
เอาเข้าจริงๆ แล้ว ก็คงไม่มีใครเชื่อหรอกว่า ซีไอเอจะปล่อยให้เจ้าหน้าที่ 2 คนที่เป็นพ่อ-ลูกกันมาปฏิบัติงานในภารกิจเดียวกัน
แม้โปรดักชันจะไม่โอ แต่ก็พาหัวเราะไปได้หลายหน
แม้ว่า นอกจากนี้ บทของซีรีส์ยังเต็มไปด้วยบทสนทนาของตัวละครต่างๆ มากมาย หลายช่วงก็พาให้ขำคิกคักตามไปด้วยได้ แต่หลายช่วงก็ดูเหมือนจะใช้เวลาในการพูดคุยกันเยอะเป็นพิเศษ เหมือนคนเขียนบทก็คงพยายามใส่รายละเอียดให้กับเหตุผลของการเลือกทำอะไรประมาณนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่ามันเยิ่นเย้อเกิน หลายหนที่อ่านซับไทยไม่ทัน หรือถึงอ่านทันก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาคุยกันอะไรกัน จนในใจอยากจะให้มันผ่านๆ ไปถึงการทำภารกิจสักที
ช่วงสนทนาที่กินเวลาไปเยอะเช่นนี้ คือสิ่งที่หนึ่งที่ฉุดรั้งความสนุกในการรับชมไปได้พอสมควร
ไม่ใช่แค่นั้น ตัวละครหลายๆ ตัวค่อนข้างน่ารำคาญเกิน ทั้งตัวสายลับหนุ่มหล่อใส่สูท เอมม่าลูกสาว ไม่เว้นกระทั่งลุคผู้เป็นพ่อ อีกส่วนก็คงเป็นเรื่องซีนแอ็คชันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการยิงดวล อุปกรณ์ประกอบฉาก มันดูไม่เวิร์ก ดูไม่สมจริง จนแทบจะกลายเป็นโปรดักชันระดับเกรดบีไปแล้ว แถมบางจุดยังชวนกังขา ว่ามันจะเป็นไปได้ไหม ทำให้ต้องแค่นๆ ดูไปเพื่อให้จบเรื่อง
สิ่งที่ผมรู้สึกมาตลอดเรื่องคือ การที่ทุกตัวละครพูดมากเกินจำเป็น จนถึงตอนสุดท้าย ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน พวกเขาก็ยังคงพูดมากไม่เลิก ความตายกำลังมาเยือนอยู่ตรงหน้า แต่กลับมาพูดจาด้วยไดอะล็อกสร้างแรงบันดาลใจ
เมื่อลองค้นหาความหมายของคำที่เป็นชื่อเรื่องนี้ พบว่ามันหมายถึง “F*cked Up Beyond All Recognition” ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้เอง ก็อาจไม่ต่างจากความหมายของมันหรอก
รายละเอียดเกี่ยวกับซีรีส์
ชื่อซีรีส์ | FUBAR |
ผู้สร้าง | Nick Santora |
ผู้กำกับฯ | Phil Abraham, Steven A. Adelson, Holly Dale, Stephen Surjik |
ผู้เขียนบท | Cait Duffy, Michael J. Gutierrez, Nick Santora, Lillian L Wang, Adam Higgs, Scott Sullivan, Penny Cox |
นักแสดง | Arnold Schwarzenegger, Monica Barbaro, Milan Carter, Gabriel Luna |
แนว/ประเภท | แอ็คชัน, ผจญภัย, ระทึกขวัญ |
จำนวนตอน | 1 ซีซัน: 8 ตอน |
ช่องทางรับชม | Netflix |
เริ่มออกอากาศ | 25 พฤษภาคม 2022 |
ผู้ผลิต/เจ้าของลิขสิทธิ์ | Blackjack Films Inc., Skydance Television, Netflix |
คะแนนซีรีส์ FUBAR
พล็อตและบท - 5.5
การแสดง - 6
การดำเนินเรื่อง - 5.5
เพลงและดนตรีประกอบ - 5.5
งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษ และโปรดักชัน - 5.5
5.6
FUBAR
ผลงานซีรีส์บนเน็ตฟลิกซ์เรื่องแรกของลุงอาร์โนลด์ ชวาเซเนกเกอร์ ที่เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างเองด้วย เรื่องราวในแนวเดียวกับ True Lies แต่เล่ายาว 8 ตอนสไตล์ซีรีส์ ของพ่อกับลูกที่เป็นเจ้าหน้าที่ CIA และดันต้องมาทำงานร่วมกัน ภารกิจเลยดูวุ่นวายเพราะความไม่ลงรอยกัน พ่วงไปถึงสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว โปรดักชันที่ดูปลอมๆ การต่อสู้ที่ดูไม่สมจริง และไดอะล็อกประหลาดๆ แต่ก็มีบางส่วนที่ชวนให้หัวเราะไปกับพวกเขาได้บ้าง