กลายเป็นกระแส ถูกพูดถึงในโซเชียลมากพอสมควร กับซีรีส์ของคนไทยอย่าง ‘Don’t Come Home’ หรือชื่อไทย ‘อย่ากลับบ้าน’ ที่ถูกสร้างออกฉายใน Netflix ด้วยการเล่าเรื่องที่เรียกคนดูด้วยเรื่องผี เรื่องสยองขวัญ ก่อนจะพาพวกเขาไปเจออะไรที่ต่างออกไป เรื่องราวลึกลับที่ออกจะเป็นไซไฟและการเดินทางข้ามเวลา ที่ต้องใช้ความละเอียดในการเขียนบท และความตั้งใจในระหว่างรับชม
คิดเห็นเช่นไรกับซีรีส์เรื่องนี้?
ไอเดียที่คิดมาดี รวมเอาความคิดอยากให้สังคมมองเห็นความทุกข์และลำบากของผู้หญิงที่เกิดจากผู้ชาย มาใส่ไว้ในซีรีส์ที่ฉากหน้าเหมือนจะเล่าเรื่องผี แต่เมื่อดูไปสักพักจะพบว่ามันเป็นซีรีส์เล่าเรื่องการย้อนข้ามเวลา ที่รับใช้ไอเดียเริ่มต้นได้เป็นอย่างดี
ซีรีส์เล่าเรื่องของแม่ที่หนีผัวจอมก้าวร้าวมากับลูกสาวยังคฤหาสน์หลังเก่ากลางป่า ที่ตนเคยอยู่เมื่อ 30 ปีก่อน ก่อนที่จะได้พบเหตุลึกลับชวนระทึกใจ และการวนลูปที่ใส่กิมมิกและสัญญะเข้ามา พร้อมกับลีลาการเล่าที่น่าติดตาม
เรื่องย่อซีรีส์ ‘Don’t Come Home’
เพื่อหลีกหนีจากบางสิ่งที่เธอได้เจอในเมืองใหญ่ วารี จารึกอนันต์ (นุ่น วรนุช ภิรมย์ภักดี จากหนังเรื่อง ‘เฉิ่ม’) ขับรถยามค่ำคืน พามิน (น้องเจแปน พลอยปภัส ฝนแก้วศิวพร) ลูกสาววัย 5 ขวบลงใต้เพื่อมาพังงา ยังคฤหาสน์หลังเก่ากลางป่าที่เธอเคยอาศัยตอนวัยเด็กและจากมานาน 30 ปี ที่นี่ มีเพียงลุงคนหนึ่งที่อาศัยอยู่บ้านใกล้กัน ที่คอยดูแลบ้านหลังนี้มานาน แต่สิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็คือความน่าสะพรึงกลัวของคฤหาสน์ใหญ่ที่เก่าโทรมหลังนี้
เพียงไม่กี่วันที่เข้ามาอยู่ เธอก็พบกับเรื่องแปลกประหลาด ทั้งมินลูกสาวที่บอกว่าเห็นหญิงร่างสีดำน่ากลัว ทั้งตัววารีเองที่พบเห็นเด็กสาววัยเดียวกับมินเดินเพ่นพ่านในบ้าน ก่อนที่วารีจะพบว่าลูกสาวหายไป เมื่อแจ้งตำรวจ เธอก็ได้พบกับ ฟ้า (แพร์ พิชชาภา พันธุมจินดา จากละครเรื่อง ‘กรงกรรม’ และหนังเรื่อง ‘จอมขมังเวทย์ 2020’) สารวัตรที่กำลังตั้งครรภ์ ผู้เข้ามาสืบหาความจริงของทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
รีวิวซีรีส์ ‘อย่ากลับบ้าน’
จากผู้กำกับโฆษณามือรางวัล เติบโตกลายมาเป็น ผู้กำกับหนังสั้น และตอนนี้ วุฒิดนัย อินทรเกษตร ก้าวขึ้มาเป็นผู้กำกับซีรีส์ไทย ผลงานที่อยู่ในบริการของ Netflix เรื่องนี้ หยิบเอาหลากหลายวัตถุดิบมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน ภายในจึงมีทั้งแง่มุมดราม่า ครอบครัว สังคม ในบรรยากาศความลึกลับ ระทึกและสยองขวัญ ขณะเดียวกันก็มีความเป็นไซไฟ
อย่างแรกเลย มันหยิบเอาเรื่องจริงเกี่ยวกับปัญหาครอบครัวในสังคมไทยเข้าไปอยู่ในนั้น หนึ่งคือความรุนแรงในครอบครัว วารีที่เป็นภรรยาในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่เพราะถูกสามีที่เป็นทหารยศนายพันบ้าอำนาจทำร้ายร่างกายเป็นประจำ จนต้องหอบลูกขับรถหนีลงใต้ไปพักยังบ้านสมัยเด็ก สองคือรักที่แอบซ่อน ฟ้า สารวัตรหญิงที่ตั้งท้องกับผู้กำกับฯ การแอบคบหาโดยที่ไม่สามารถออกหน้า และต้องโดนติฉินนินทา มันย่อมสร้างความอึดอัดกระอักกระอ่วนใจให้กับฝ่ายหญิง
อารมณ์ของซีรีส์มีความผสมผสานและผลัดกันเด่น จากตอนแรกที่เป็นแนวสยองขวัญพาขนลุกกับฉากผีโผล่ พอตอนถัดมา ก็เปลี่ยนแนวเป็นลึกลับแทน จากนั้นจึงหันไปเล่าเรื่องไซไฟ ก่อนจะกลับไปกลับมาระหว่างลึกลับกับสยองขวัญ
ทีแรกที่เปิดเข้าไปดู ไม่รู้ว่าตำรวจสงสารหรือสงสัยแม่เด็กกันแน่ ได้ฟังคำบอกเล่าของวารีที่แจ้งว่าลูกหาย แต่สารวัตรสาวกลับตั้งแง่กับการมีอยู่ของมิน พินิจดูอีกที เธอคงเป็นพวกช่างสังเกตและอยากรู้ไปซะทุกอย่างตามประสาสายสืบ ซึ่งนำพาให้เจอกับเบาะแสประหลาดที่ถูกปิดซ่อนไว้ในบ้านหลังนี้ แต่ละตอนมีของใหม่ให้ตะลึงกันได้ตลอดๆ
บทของซีรีส์เรียกได้ว่า ช่วงแรกนั้นเทให้กับ 2 ตัวละครหญิงในอัตราที่เท่าๆ กัน เผยให้เห็นถึงการลำบากของแม่คนหนึ่งที่เจอทั้งผัวทำร้ายและลูกสาวหายตัว กับหญิงอีกคนที่ท้องโตขึ้นทุกวันโดยไม่อาจเปิดเผยว่าใครเป็นพ่อเด็ก ก่อนที่ต่อมา บทของซีรีส์จะเพิ่มเล่าเรื่องของหญิงคนที่สาม หญิงที่ต้องอยู่กับความทุกข์ระทมเพราะความสูญเสีย
ซีรีส์ที่มีตัวละครหญิงเท่านั้นที่สำคัญและเป็นตัวเดินเรื่อง ผู้ชายส่วนใหญ่กลายเป็นพวกเลวร้ายที่สร้างความลำบากให้กับเพศหญิง อีกหนึ่งตัวละครสำคัญ คือ พนิดา (ซินดี้ สิรินยา บิชอพ จากซีรีส์ ‘Home School นักเรียนต้องขัง’) แม่ของวารี ที่เป็นทั้งอาจารย์และวิศวกร ทำงานอยู่ที่โรงผลิตไฟฟ้าของเขื่อน จิตใจกระทบกระเทือนหนักเพราะการสูญเสียจนถึงขั้นสติฟั่นเฟือน พฤติกรรมบางอย่างอาจชวนรู้สึกขัดใจแต่ก็ชวนเห็นใจระคนกัน
ขณะที่ตัวละครผู้ชาย ไม่ว่าจะ ลุงนที, พันเอกยุทธชัย (ตุ้ย ธีรภัทร์ สัจจกุล) หรือ ผู้กำกับดนัย ล้วนแต่สร้างความเลวร้ายให้กับตัวละครเพศหญิง
ซีรีส์พันธุ์ไทยที่เริ่มต้นด้วยกลิ่นอายหนึ่ง แต่เมื่อดูๆ ไป กลับกลายเป็นอีกกลิ่น จากเรื่องผีที่ผลุบโผล่อยู่ในบ้านหลังเก่า กลับกลายเป็นเรื่องไซไฟย้อนเวลาไปซะงั้น ห้องประหลาดที่ซ่อนอยู่ภายในบ้าน ร่องรอยต่างๆ ถูกจัดวางเอาไว้ให้กับคนที่สังเกต ก่อนที่เมื่อเวลามันผ่านไป เหตุการณ์ต่างๆ ก็ถูกบอกเล่าเพื่ออธิบายสิ่งที่เคยบอกใบ้ไว้ก่อนหน้า มองเห็นว่า คนเขียนบทก็คิดมาดี ค่อนข้างรอบคอบและพยายามไม่ตกหล่น แม้จะมีบางจุดที่ชวนตะขิดตะขวงใจไปบ้าง แต่โดยรวมมันก็ออกมาค่อนข้างดี มีกิมมิกโน่นนี่นั่นให้มองเห็น ไม่ว่าจะเป็นตัวเลข 3.14 ที่อยู่ในหลายสิ่ง ภาพของเส้นที่โค้งเป็นวงอันแสดงถึงวังวนที่ไม่รู้จบสิ้น แม้กระทั่งนามสกุลก็ยังชวนให้คิดได้
งานถ่ายทำ ก็ถือว่าสวยงามเทียบชั้นกับของต่างชาติได้ บวกกับบทที่สร้างความซับซ้อนด้วยไอเดียของการย้อนเวลาไปมา การเลือกให้ยาว 6 ตอนก็ส่งผลให้เล่าเรื่องได้อย่างกระชับ ดนตรีประกอบก็ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว (จะบอกว่าประทับใจตั้งแต่ไตเติลแล้ว)
โดยรวม มันเป็นเรื่องราวที่พลิกผันและปั่นประสาทพอสมควร ชักชวนให้นั่งดูไปก็อภิปรายกับคนข้างๆ ไป ว่าที่เข้าใจนั่นถูกมั้ย หรือมีอะไรที่ยังไม่เข้าใจกระจ่างบ้าง จนสร้างกระแสการถูกพูดถึงในโชเชียลได้ดีชะงัดเลย
รายละเอียดเกี่ยวกับซีรีส์
ชื่อซีรีส์ | อย่ากลับบ้าน / Don’t Come Home |
ผู้กำกับ | วุฒิดนัย อินทรเกษตร |
ผู้เขียนบท | วุฒิดนัย อินทรเกษตร, อมราพร แผ่นดินทอง |
นักแสดง | นุ่น วรนุช ภิรมย์ภักดี, แพร์ พิชชาภา พันธุมจินดา, ซินดี้ สิรินยา บิชอพ, ธีรภัทร์ สัจจกุล, ปาริธ ทิมทอง, สหัสชัย ชุมรุม, พาทิศ พิสิฐกุล |
แนว/ประเภท | ดราม่า, ระทึกขวัญ, ลึกลับ, ไซไฟ, สยองขวัญ |
จำนวนตอน | 1 ซีซัน: 6 ตอน |
ช่องทางรับชม | Netflix |
เริ่มออกอากาศ | 31 ตุลาคม 2024 |
ผู้ผลิต/เจ้าของลิขสิทธิ์ | หับ โห้ หิ้น บางกอก |
คะแนนรีวิวซีรีส์ อย่ากลับบ้าน
พล็อตและบท - 9
การแสดง - 8.5
การดำเนินเรื่อง - 9
เพลงและดนตรีประกอบ - 8.8
งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชั่น - 8.8
8.8
Don't Come Home
ไอเดียที่คิดมาดี รวมเอาความคิดอยากให้สังคมมองเห็นความทุกข์และลำบากของผู้หญิงที่เกิดจากผู้ชาย มาใส่ไว้ในซีรีส์ที่ฉากหน้าเหมือนจะเล่าเรื่องผี แต่เมื่อดูไปสักพักจะพบว่ามันเป็นซีรีส์เล่าเรื่องการย้อนข้ามเวลา ที่รับใช้ไอเดียเริ่มต้นได้เป็นอย่างดี ซีรีส์เล่าเรื่องของแม่ที่หนีผัวจอมก้าวร้าวมากับลูกสาวยังคฤหาสน์หลังเก่ากลางป่า ที่ตนเคยอยู่เมื่อ 30 ปีก่อน ก่อนที่จะได้พบเหตุลึกลับชวนระทึกใจ และการวนลูปที่ใส่กิมมิกและสัญญะเข้ามา พร้อมกับลีลาการเล่าที่น่าติดตาม