รีวิวซีรีส์ BEEF คนหัวร้อน | บีบแตรเป็นเหตุให้ วุ่นวายยุ่งเหยิง

เอาจริงๆ แล้ว ซีรีส์เรื่องนี้ดูจะเหมาะกะคนไทยดีนะครับ ด้วยเพราะเหตุผลต้นเรื่องของมันมาจากความหัวร้อนของตัวเองสองคน ที่ฝ่ายหนึ่งบีบแตรลั่นและแจกของ อีกฝ่ายเลยโมโหขับไล่บี้ จากนั้นก็เป็นเหตุให้แก้แค้นกันไปมา ก็เหมือนๆ กับที่คนไทยชอบทำกันบนถนน บีบแตรไม่ได้ กลายเป็นเรื่อง จนหลายคนไม่กล้าจะบีบแตรกันแล้วนั่นแหละครับ ‘Beef’ ชื่อไทย ‘คนหัวร้อน’ สตรีมให้ดูกันแล้วบนเน็ตฟลิกซ์ครับ

ในกรุงเทพฯ นี่เราก็ต้องยอมรับ อากาศมันร้อน แถมรถมันก็เยอะ รถมันเลยติด ทำให้คนหงุดหงิดและมักมีเรื่องทะเลาะกันบนท้องถนนได้ง่าย แต่เรื่องราวในซีรีส์เรื่องนี้มันเกิดขึ้นในอเมริกา ที่น่าจะอากาศเย็นกว่าบ้านเรา แต่ก็ไม่วายแหละ ที่คนจะเกิดความเครียดพุ่งปรี๊ดกันได้ง่ายๆ แถมนี่มันเป็นซีรีส์เรื่องแรกของค่ายที่ทำหนังออกได้ปังตลอดๆ อย่าง A24

พวกเขาเลือกจะหยิบเอาบริบทของคนเชื้อสายเอเชียมาเล่าให้เราได้เสพกัน

เรื่องย่อซีรีส์ ‘คนหัวร้อน’

แดนนี่ โช (Steven Yeun จากหนังเรื่อง ‘Minari’ และ ‘Okja’) หนุ่มเชื้อสายเกาหลีที่ดิ้นรนทำมาหากินด้วยอาชีพการทำธุรกิจก่อสร้าง แต่จริงๆ ก็รับจ้างซ่อมไปทั่ว ทำถึงขั้นยืมเงินมาเล่นบิทคอยน์ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จกับอะไรสักอย่าง เขามีน้องชายชื่อ พอล (Young Mazino) ที่หาเงินจากการเล่นเกม เขาดูเป็นคนที่เฟรนด์ลี่กว่าพี่ชายมาก แต่เขาไม่ค่อยจะถูกกับ ไอแซค (David Choe) ลูกพี่ลูกน้องที่เพิ่งกลับออกมาจากคุก

ส่วน เอมี่ เหลา (Ali Wong จากหนังเรื่อง ‘Birds of Prey’) เธอเป็นคนเครียดๆ และหัวร้อน เจ้าของร้านโคโยเฮ้าส์ ที่วุ่นวายคร่ำเคร่งอยู่กับปิดดีลขายธุรกิจขายต้นไม้กับจอร์แดน (Maria Bello) ผู้บริหารของห้างฟอร์สเตอร์ โดยมี นาโอมิ (Ashley Park จากซีรีส์เรื่อง ‘Emily in Paris’) เพื่อนที่ดูมีชีวิตสมบูรณ์พร้อมกว่าในทุกด้าน และพร้อมจะล้มเธอเมื่อมีโอกาส

สองคนมาเจอกันเพราะฝ่ายหนึ่งถอยรถจนเกือบชนอีกฝ่าย ทำให้อีกฝ่ายบีบแตรยาว จากนั้นก็ให้นิ้วกลาง ต่างฝ่ายต่างหัวร้อนจนเกิดเหตุไล่ล่าที่กลายเป็นไวรัลไปทั่วเมือง และส่งผลให้สองฝ่ายต่างแก้แค้นกันไปมา

ในเรื่องนี้ ยังมี จอร์จ นาคาอิ (Joseph Lee จากหนังเรื่อง ‘Searching’)​ สามีของเอมี่ที่พยายามสร้างงานศิลปะให้เป็นที่ยอมรับ และเป็นนักมองโลกในแง่บวก ทั้งสองมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนคือ จูน แต่ทั้งจอร์จและเอมี่ต่างมีปัญหาระหองระแหง และพยายามจะปรับปรุงสภาวะของพวกเขาเอง

รีวิวซีรีส์ BEEF

เริ่มต้น มันเหมือนเป็นแค่เรื่องของคนหัวร้อนสองคนที่แก้แค้นกันไปกันมา แต่แท้จริง เมื่อดูไปยังเนื้อลึกข้างใน ก็อาจพบแง่มุมบางอย่างในชีวิตของคนเชื้อสายเอเชียที่ต้องดิ้นรนบนแผ่นดินอเมริกา

อย่างเช่น แดเนียล โช หรือ แดนนี่ ตัวเอกของเราเนี่ยแหละ พ่อแม่เป็นคนเกาหลีที่โยกย้ายมาตั้งรกรากอยู่ในอเมริกา เขาพยายามตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่ไปถึงไหน เขายังรู้สึกว่าตนยังคงวนเวียนอยู่ที่จุดเดิม พ่อแม่เคยทำธุรกิจโมเต็ล แต่ก็ต้องกลับกลายเป็นของคนอื่น ความพยายามที่จะกลับมาพลิกฟื้นสร้างที่อยู่ให้พ่อแม่สร้างความตึงเครียดให้กับเขาอย่างมาก จนมีแววว่าจะมีอาการซึมเศร้า อันส่งผลให้มีอารมณ์หงุดหงิดง่าย แต่ก็ไม่ได้มีใครเข้าอกเข้าใจเขาอย่างแท้จริง มองกันแค่ว่ามันเป็น “คนหัวร้อน”

ขณะอีกฝ่าย เอมี่ เหลา ดูจากชื่อก็น่าจะเป็นคนเชื้อสายจีน (แค่ไม่รู้ว่าจีนไหน) ที่ได้มาแต่งงานกับคนเชื้อสายญี่ปุ่น เธอมีแม่ยายที่เป็นศิลปินผู้เจ้ากี้เจ้าการ มีสามีที่ไม่อาจให้ความสุขบนเตียงได้เพียงพ แม้ภายนอก เธอก็ดูเป็นคนร่ำรวยอยู่นะ แต่ความต้องการขายกิจการร้านขายต้นไม้ที่ดูไม่ค่อยได้กำไรนัก ก็น่าจะพอบอกได้ว่าเธอเองก็มีปัญหาการเงินอยู่บ้าง ความเครียดอะไรพวกนี้ล่ะมั้งที่สะสมจนทำให้เธอเป็นพวกหัวร้อน ซึ่งสามีเธอก็ดูจะรู้นิสัยนี้ของเธอเป็นอย่างดี

และเมื่อคนหัวร้อน 2 คนมาเจอกัน มันก็เลยทำให้เกิดเหตุเริ่มต้นขึ้น ก่อนจะบานปลายกลายเป็นการเอาคืนกันไปมา…

นอกจากความหัวร้อนที่ไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่กันแล้ว เราก็ยังมองเห็นว่า ต่างคนต่างก็พยายามจะเรียนรู้เข้าใจตัวเอง และเสาะหาวิธีการแก้ไขด้วยเช่นกัน เช่นฝ่ายหนึ่งที่เลือกจะเข้าโบสถ์ เหมือนจะเจอหนทางทำหัวเย็นขึ้น แต่แท้ที่จริงแล้วก็เพียงใช้เป็นลู่ทางให้กับธุรกิจและความอยู่รอดของตนเอง ขณะที่อีกฝ่ายก็เริ่มจะระหองระแหงกับสามี จนต้องจับมือกันไปหาจิตแพทย์เพื่อสานสัมพันธ์ให้กลับมาแน่นแฟ้นเช่นเดิม

แต่ฝ่ายหลัง นอกจากมันจะไม่ค่อยช่วยแล้ว มันยังมีเรื่องที่เลยเถิดออกไปอีก เมื่อพอล น้องชายของชายหัวร้อน ดันได้รู้จักกับ เอมี่ เข้าด้วยความบังเอิญ พอลไม่ใช่คนที่หัวร้อน มีท่าทีสุภาพและจิตใจที่ดีกับพี่ชายอย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะความต้องการที่มากไปหน่อยของเอมี่ก็พาเรื่องราวมันเข้ารกเข้าพงไปจนได้

ในความรู้สึกของข้าพเจ้า รู้สึกไปว่าซีรีส์มันตั้งใจจะบ่งบอกถึงการดิ้นรนสู้ชีวิตของคนกลุ่มหนึ่ง ที่โชคชะตาพาให้เราไปไม่ถึงไหนสักที อาจจะเพราะท่าทีที่ดูหัวร้อนจนไม่มีใครอยากเข้าใกล้และเข้าใจ หรืออาจเขามีญาติพี่น้องที่เคยติดคุกมา หรืออาจเพราะความไม่มีทางเลือกมากพอจนต้องใช้เล่ห์เล่นกลโกงเพื่อความอยู่รอด แต่สิ่งที่พอลรู้สึกกับแดนนี่พี่ชาย คือ เขาทำงานหนักเพื่อตัวเอง ดูชีวิตไม่มีความสุข น้องชายมองว่าเขาเป็นโรคซึมเศร้า เหมือนซีรีส์มันพยายามโอบอุ้มความหวังของคนเชื้อสายเอเชียที่มาอยู่ในถิ่นที่ตนกลายเป็นคนแปลกหน้าและมีชีวิตอยู่อย่างลำบากยากเย็น

ในบางส่วนเสี้ยวของเรื่องราว พอมองเห็นว่ามีพระเจ้าที่เข้ามาข้องเกี่ยวและเปลี่ยนแปลงหลายสิ่ง แดนนี่ก้าวเข้าไปในโบสถ์ด้วยความคิดจะใช้เป็นใบเบิกทางสู่ความมุ่งหวัง แต่กลับกลายเป็นว่าเขาได้มากกว่านั้น หรืออย่างในบทสุดท้าย ทั้งสองตัวละครนำก็มีโอกาสได้มานอนคุยกันเรื่องพระเจ้าซะงั้น

นี่ก็ยังให้รู้สึกว่า ช่วงท้ายของซีซันมันเล่าแปลกไปนิดนึงแฮะ มันพาเราไปพบกับชีวิตวัยเด็กของเอมี่ พาไปรู้จักกับผีร้ายที่ตามติดเอมี่อยู่ ดูออกไปทางแฟนตาซี ทั้งที่ทุกตอนที่ผ่านมาออกไปทางดราม่าคอเมดี้ แต่ก็พอเข้าใจแหละว่าอยากจะสื่อความหมายของชีวิตทั้งชีวิตที่หล่อหลอมให้เป็นเอมี่ในวันนี้ แต่ในส่วนของชีวิตวัยเด็กของแดนนี่ ซีรีส์มันก็ดูจะให้เวลาเอ่ยถึงน้อยไปนิดนึงแหละ

สิ่งหนึ่งที่รู้สึกระหว่างดู คือ การปิดบังตัวตน ไม่ว่าจะเป็นปิดบังตัวเองและผู้อื่นก็ตาม อันที่จริงแล้ว พวกเขาควรมีใครสักคนที่สามารถเปิดเผยแบ่งปันกันได้ ไม่ต้องเก็บงำจนกลายเป็นซึมเศร้าและอยู่ในวังวนจนมองไม่เห็นทางออก เมื่อใดก็ตามที่เรามีคนเข้าใจ มีใครให้เข้าใจ ไม่ต้องปิดต้องบัง ความเครียดอะไรหลายๆ อย่างที่ต้องเจอ มันก็คงจะคลายลงไป

ไม่ต้องหัวร้อนกันบ่อยๆ อีกนั่นแหละ

รายละเอียดเกี่ยวกับซีรีส์