เชื่อว่าไม่ว่าใครๆ ก็คงจะเคยไปผ่านตาถึงชื่อซีรีส์เกาหลีอย่าง ‘Twenty Five, Twenty One’ ไปบ้างไม่มากก็น้อย ด้วยเพราะมันเป็นซีรีส์สุดอบอุ่น ให้กำลังใจ ทั้งมองโลกจากหลายๆ มุมอย่างเข้าใจไปพร้อมๆ กัน แถมยังเป็นเรื่องราวที่เล่าย้อนกลับไปวันเก่ายุค 90’s ที่หลายคนเติบโตขึ้นมา ต่างเคยก้าวผ่านวันเวลาที่ยากลำบากมาด้วยกัน ทั้งยังเป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องของกีฬาฟันดาบ การเดินทางตามความฝัน ผ่านทั้งความเจ็บปวด ความเสียใจ ความทดท้อ ผ่านมาทั้งรอยยิ้ม หยาดเหงื่อ และน้ำตา กว่าจะก้าวขึ้นคว้าเหรียญทองอันเป็นรางวัลแห่งชัยชนะ
ตลอดเส้นทางของซีรีส์เรื่องนี้ ทุกตอนต่างก็มีช็อตที่ทำให้ใบหน้าคนดูต้องเปื้อนน้ำตา และมีบทสนทนาดีๆ โดนใจมากมาย วันนี้จึงขอเขียนบทความรวมโมเมนต์โดนใจจาก ‘ยี่สิบห้า ยี่สิบเอ็ด’ มาฝากกัน แต่ละถ้อยคำอาจทำให้น้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง ต้องขออภัยหากว่า บางบทสนทนาอาจจะบ่งบอกเรื่องราวภายในเรื่องไปบ้าง
ก็คาดหวังว่า ทุกคนจะให้อภัยนะครับ
ตอนที่ 1 เธอพังเพราะแผนการที่ผิด
ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิตกต่ำ บ้านของแพคอีจินต้องล้มละลายแยกกันคนละทาง แต่นาฮีโดยังคงมีบ้านอยู่ เธอเพียงพบว่าชมรมฟันดาบถูกยุบและต้องการย้ายโรงเรียน แต่วิธีการของเธอนั้น ถึงขั้นทำผิดกฎหมาย เธอยังเป็นนักเรียนแต่ไปเที่ยวยามราตรี โดยไม่คำนึกถึงความปลอดภัยของตนเอง คำพูดของแพคอีจินช่วยเตือนสตินาฮีโดได้ดี
“ที่เธอพังวันนี้ไม่ใช่เพราะฉันทำพังคนเดียวหรอกนะ แต่มันพังเพราะแผนการที่ผิด คิดแผนใหม่เถอะ”
แพคอีจิน
เพราะความเป็นเยาวชน อาจยังมองไม่ออกถึงผลเสียที่อาจติดตามมาจากแผนการที่ผิดแบบนี้ เพียงแค่คิดจะย้ายโรงเรียน ไม่ควรต้องลงทุนทำผิดกฎหมายโดยไม่ยั้งคิด ที่อาจเสียหายหนักกว่าเดิม ที่เธอควรทำคือ คิดให้รอบคอบ หาหนทางที่ดีกว่าซึ่งในซีรีส์จะได้บอกถึงหนทางอันนั้นไว้
ตอนที่ 2 แพ้เพราะอะไร ชนะเพราะอะไร
บางคนอาจจะโดนใจกับถ้อยคำ “ยุคสมัยน่ะ สามารถพรากความฝัน เงิน ทองและครอบครัวไปพร้อมกันได้เลยล่ะ” เพราะยุคไอเอ็มเอฟส่งผลต่อเด็กวัยรุ่นทุกคนแม้จะแตกต่างกันไป แต่ยังมีอีกบทหนึ่งที่เรามองว่าเป็นข้อคิดที่ดี มีแง่มุมชวนฉุกใจ ในวันที่ นาฮีโดต้องแข่งขันกับโกยูริมจบและรู้ผลแพ้ชนะ หลังการแข่งขัน โค้ชก็ถามว่าเหตุใดทั้งสองจึงเป็นฝ่ายชนะและแพ้ พร้อมให้บทเรียนแก่พวกเธอว่า
“เธอรู้ไหม พวกนักกีฬาผู้ใหญ่ คิดว่าใครเป็นคู่ต่อสู้ที่ปราบยากที่สุด ก็นักกีฬา ม.ปลายอย่างพวกเธอนี่ไง เพราะไม่มีข้อมูลบอกเลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นยังไง
โค้ชยางชานมี
ในทุกการแข่งขัน ถ้าเรารู้จักอีกฝ่าย เราย่อมจะวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนและใช้กลยุทธ์รุกรับได้ถูก แต่ถ้าไม่รู้อะไรเลย การรับมือก็ย่อมจะยาก อย่างที่เขาว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งนั่นแหละครับ
ตอนที่ 4 มองมาจากอวกาศ
เมื่อสองตัวเอกมานั่งปรับทุกข์กันอยู่หน้าบ้าน คนหนึ่งถูกยุคสมัยชักพาชีวิตหล่นกลายเป็นคนล้มละลาย ขณะอีกคนกำลังจะได้เข้าแคมป์ฝึกทีมชาติ เมื่อแพคอีจินพูดว่า “ถูกของเธอนะ ว่ากันว่าทุกเรื่องเศร้าในชีวิตเรา คือเรื่องตลกเมื่อมองจากที่ไกลๆ” นาฮีโดก็ตอบกลับไปว่า
“เราก็เลยต้องใช้ชีวิตเหมือนกับมองมาจากที่ไกลๆ ไง เรามาใช้ชีวิตเหมือนมองมาจากอวกาศกันเถอะ …พอลองมาคิดดู ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องเศร้าไปซะหมด และไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องตลกไปซะหมดด้วย”
นาฮีโด
ในทุกเรื่องเศร้า ถ้าลองมองมันจากที่ไกลๆ เราอาจเห็นแง่มุมความตลกจากเรื่องเดียวกัน แต่ในวันที่เป็นเราเองที่ยืนอยู่ในดงความเศร้านั้น เราอาจมองมันไม่เห็น บางที ถ้าอยากจะเดินต่อไหว เราอาจต้องถอยตัวเองออกมาบ้าง เผื่อว่าจะได้เห็นบางมุมที่ทำให้เราไม่รู้สึกว่าทุกอย่างมันเศร้าเกินไป ทุกสิ่งที่มีมุมลบ มันก็ยังมีมุมบวกแฝงตัวอยู่ในนั้นนะ
ตอนที่ 7 หนูเก่งมากนะ
กว่าจะถึงวันที่นาฮีโด กลายเป็นนักฟันดาบเหรียญทอง เธอต้องทุ่มเทฝึกฝนมากมายเท่าไหร่ แต่เมื่อมาถึงวันที่คว้าชัยได้สำเร็จ มันกลับเป็นวันที่ไร้ซึ่งรอยยิ้มและคำชื่นชม เธอกลับต้องพานพบกับคำครหาและความเคลือบแคลงสงสัย จะเหลือสักกี่คนที่เข้าใจความรู้สึกของเธอ แต่กลายเป็นว่าคำพูดจากคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่ดูจะเข้าใจอกเข้าใจเธอมากที่สุด
“หนูคงปวดใจมากเลย สู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับใช่ไหม เจอเรื่องใหญ่เลย ใหญ่จริงๆ … กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ ต้องลำบากขนาดไหน ต้องแอบร้องไห้มามากแค่ไหน ต้องเจ็บปวดมาตั้งเท่าไหร่ล่ะ หนูเก่งมากนะ จากนี้ไปฝากวงการฟันดาบเกาหลีด้วยนะ”
คุณตาคนแปลกหน้า
ฉากนี้คงไม่มีใครที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้ กว่าเธอจะฝ่าฟันมาจนถึงวันที่ประสบความสำเร็จ ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตามากมายแค่ไหน ไม่มีใครจะรู้ดีเท่ากับตัวเธอเอง แต่หลายครั้ง คำครหาต่างๆ ที่เข้ามานั่นแหละที่กลบฝังความภาคภูมิใจในตัวเองไว้เสียจนมิด วันไหนที่เธอทำสำเร็จ ถึงใครไม่ชื่นชม แต่เธออย่าลืมเอ่ยชมตัวเองด้วยนะ
ตอนที่ 9 รุ้งน่ะ ไม่จำเป็นหรอก
ตอนนี้ คงเป็นตอนที่สุดอบอุ่นตอนหนึ่งในซีรีส์เรื่องนี้ ที่คนดูก็ดูไปพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เมื่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่เติบโตงอกงามจนไม่อาจเก็บมันไว้ได้อีกแล้ว พวกเขาจึงเริ่มพูดคุยถึงสิ่งที่เต็มล้นในใจแก่กัน สิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ต่างคนต่างปรารถนาดีต่อกัน และต่างก็เป็นพลังใจให้แก่กัน “เวลาฉันเห็นเธอพยายามฉันก็อยากพยายามด้วย เวลาเห็นเธอทำสำเร็จฉันก็อยากทำสำเร็จด้วย”
“เธอชักนำฉันไปในทางที่ถูก นำฉันไปในทางที่ดีเสมอเลย” – นาฮีโด
“ฉันรักเธอนะ นาฮีโด รุ้งนั้นน่ะ..ไม่จำเป็นหรอก” – แพคฮีจิน
ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องมานิยาม คำนิยามใดๆ บางทีก็ไม่สำคัญ ขอแค่เราต่างรู้ว่ารู้สึกต่อกันเช่นไรก็เพียงพอ
ตอนที่ 11 ไม่ได้ทำตามความฝัน ไม่ได้แปลว่าชีวิตล้มเหลว
ในตอนนี้ มีคำพูดหนึ่งที่จับใจอยู่ไม่น้อย ในช่วงที่แพคอีจินเดินเข้าไปพูดคุยกับรุ่นพี่ชินแจคยองในวันที่เธอเมาได้ที่ รุ่นพี่เอ่ยถามว่า อาชีพนักข่าวเป็นความฝันของเขาอยู่แล้วเหรอ ซึ่งแน่นอน สำหรับคนดูคงรู้อยู่แล้วว่า เขาฝันอยากทำงานในนาซ่า แต่จากสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนคนรวยให้กลายเป็นคนล้มละลาย ทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนแปลงไป และนี่คือคำตอบของเขา
“ผมว่าการไม่ได้ทำตามความฝันไม่ได้แปลว่าชีวิตล้มเหลว และการได้ทำตามความฝันก็ไม่ได้แปลว่าชีวิตไปได้สวย ผมแค่อยากทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ออกมาดีก็พอ นั่นคือความฝันของผมตอนนี้ครับ”
แพคฮีจิน
ชีวิตคนเราอาจต้องพบเจออุปสรรคต่างๆ มากมายที่อาจกั้นขวางความฝัน แต่ความฝันก็ไม่จำเป็นต้องมีหนึ่งเดียวหรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เมื่อหลายสิ่งในชีวิตเปลี่ยน ‘ความฝัน’ อาจขยับเข้ามาใกล้ ‘ความจริง’ มากขึ้นจนแทบจะเป็นสิ่งเดียวกัน
ตอนที่ 12 อย่าลืมเด็ดขาดว่าได้รับโอกาสมายังไง
ครั้งหนึ่ง สมาชิกชมรมฟันดาบอย่าง เยจี เคยสนุกและมุ่งมั่นกับมันมาก แต่วันนี้ เธอกลับไม่เหลือความสนุกนั้น จนโค้ชหยิบยื่นเงื่อนไขการออกจากชมรมว่าเธอต้องเข้ารอบรองให้ได้ จนเธอกลับมามุ่งมั่นอีกครั้งและทำมันได้สำเร็จ พร้อมกับคำพูดดีดีทิ้งท้ายของโค้ชว่า
“อย่าลืมเด็ดขาดว่าเธอได้รับโอกาสใหม่มายังไง ในทุกครั้งที่เธอลำบาก จงเตือนตัวเองซะ ว่าจุดเริ่มต้นมันยากแค่ไหน”
โค้ชยางชานมี
ความสำเร็จมักได้มาอย่างยากลำบาก ส่วนสำคัญของความสำเร็จนั้นคือโอกาสที่คว้ามาได้อย่างยากเย็น การเริ่มต้นใหม่จึงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดาย และต้องใช้ทั้งหยดเหงื่อและหยาดน้ำตาแลกมันมาอีกเช่นกัน
ตอนที่ 13 ยังไงเราก็เคยได้มา
จุดเริ่มต้นที่นาฮีโดสารภาพความในใจไปกับแพคอีจิน ทำให้เธอดูจะกังวลไม่น้อยด้วยกลัวจะเสียเขาไปเมื่อความสัมพันธ์ไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง นาฮีโดและโกยูริมที่กลายมาเป็นเพื่อนรักกันจึงปรับทุกข์ในระหว่างซ้อม และบทสนทนาที่ได้แง่มุมจึงผุดขึ้น
“ปกติแล้ว การสารภาพรักคือการเดิมพันนะ ไม่เสียทุกอย่างไป ก็ได้ทุกอย่างมา …เพราะไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไปนี่แหละ ถ้าเกิดว่าเสียไปก็คงจะเจ็บปวดแล้วก็ทรมานมั้ง แต่ยังไงเราก็เคยได้มานะ นั่นแหละที่สำคัญ”
โกยูริม
เป็นความจริงของชีวิตแหละ ทุกสิ่งมีแต่ความไม่แน่นอน ไม่มีใครล่วงรู้อนาคตหรอก เราควบคุมได้แค่ปัจจุบันเท่านั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนี้คือผลพวงของสิ่งที่เราทำในตอนนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมันไม่มีอะไรที่คงอยู่กับเราเสมอไป เราจึงไม่ควรนั่งเจ็บปวดกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อย่างน้อยก็คิดในแง่ดีที่ว่า ครั้งหนึ่งสิ่งดีๆ มันเคยอยู่กับเรา ฉากนี้เล่นน้ำตาซึมไปเลย
ตอนที่ 14 ฉันอยากฟังคำนั้นมาก
ในช่วงเวลาที่บีบหัวใจสำหรับคนที่นั่งมองอย่างเอาใจช่วยมาตลอด โกยูริมกับการตัดสินใจครั้งสำคัญ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เธอรู้ดีว่า สิ่งที่ตามมาคือการถูกคนทั้งประเทศเกลียดชัง แต่เธอจำเป็นต้องเลือกทำเพื่อครอบครัว ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เธอได้เจอหน้ามุนจีอุงคนที่เอ่ยบอกเธอว่า “คงเป็นการตัดสินใจที่ยากน่าดู เธอเจ๋งมากเลยนะ โกยูริม” เขาก็เป็นอีกคนได้รับรู้ข่าวของเธอแล้ว
“ขอบคุณนะ ที่ไม่ห้ามฉัน ไม่บอกว่าเป็นห่วงฉัน แต่ภูมิใจในตัวฉัน บอกว่าฉันตัดสินใจดีแล้ว ฉันอยากฟังคำนั้นมาก แล้วนายก็พูดมันออกมา”
โกยูริม
ในวันที่เธอต้องตัดสินใจทำในสิ่งที่ลำบากใจมากที่สุด รู้ดีที่สุดว่าแรงปะทะมันจะกลับมามากมายเพียงใด แต่ตราบที่คนข้างๆ ยังคงเข้าใจเธอมากที่สุด ไม่มีคำพูดที่ชวนบั่นทอนใดๆ กลับมา นั่นถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่คนสำคัญจะให้กันได้ ฉากนี้เป็นอีกฉากที่น้ำตาเจิ่งนอง
ตอนที่ 15 มีไม่เยอะหรอก
คนที่ทำให้คนที่สนิทมากต้องเดือดร้อนเพราะหน้าที่การงานของตนเอง คงไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่ามานั่งร้องไห้อยู่คนเดียว เอาจริงๆ คงไม่มีใครที่อยากจะต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เมื่อมูฟออนไม่ไหว คงต้องให้ใครสักคนมาช่วยปลอบ
“เปิดใจและยอมรับเรื่องนั้นเถอะ ในโลกนี้น่ะ สิ่งที่เราทำตามใจตัวเองได้ มีไม่เยอะหรอก”
นาฮีโด
อันที่จริง ตอนนี้ก็เป็นอีกตอนที่มีโมเมนต์และมีบทพูดน่าประทับใจอยู่หลายจุด แต่ก็เลือกช็อตนี้ เพราะมันโดนใจมากไม่น้อยเหมือนกัน ชีวิตของใครที่เคยบอกว่าชอบจะอยู่นอกกรอบ แต่ยังไงเราก็จะอยู่ในกรอบใดกรอบหนึ่งที่ครอบไว้อยู่ดี แต่อย่างน้อย เราก็ยังมีที่ให้หายใจด้วยตัวเองได้บ้าง โลกคงไม่ได้ใจร้ายกับเราไปเสียทุกอย่างหรอก
บทสรุป
มันเป็นซีรีส์ที่รวมหลายๆ แนวทางเข้าไว้ด้วยกัน นอกจากเป็น ซีรีส์แนวครอบครัวแล้ว ก็ยังเป็นซีรีส์ที่เวลาส่วนใหญ่ในนั้นเป็นเวลาในอดีต สภาพบ้านเมือง ของใช้ และการใช้ชีวิตของตัวละครล้วนอ้างอิงกับช่วงเวลานั้นทั้งสิ้น แล้วก็ยังเป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องของนักกีฬา เล่าถึงความหวัง ความฝัน ความพยายาม หยดเหงื่อและน้ำตา ความผิดหวัง รวมอยู่ในนั้นทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีแง่มุมดีๆ ให้ดูแล้วได้คิด
อีกทั้งนักแสดงทั้งหลาย ต่างก็เล่นไว้ได้ดีมาก น้ำตาไหลในทุกตอน จึงไม่แปลกใจที่ซีรีส์จะขึ้นอันดับต้นๆ ในเกือบทุกประเทศ และโมเมนต์-ช่วงเวลาประทับใจที่หยิบมาเล่านี้ คงเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น