อยากรู้ข้อมูล BMMF#2 คลิกไปอ่านได้ที่ จะมีอะไรใหม่ใน Big Mountain Music Festival ครั้งที่ 2 นะจ๊ะ! ช่วงเวลานี้ ผมรู้สึกว่า ไม่ค่อยจะมีเวลาว่างเหลือมานั่งเขียนบล็อกสักเท่าไหร่ การจะเขียนสักหน้าจึงต้องใช้เวลาให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ วันนี้ ผมขอเขียนถึงเรื่องที่อยากเขียนถึงมาหลายวันเสียที นั่นคือ เทศกาลดนตรีที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน เป็นเทศกาลที่คนทำตั้งใจจะให้มันเป็น “เทศกาลดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย”
“Big Mountain Music Festival 2010” เทศกาลดนตรีที่ โบนันซ่า เขาใหญ่ ซึ่งจัดโดย ป๋าเต็ด “ยุทธนา บุญอ้อม” นั่นเอง
หลังจากมีประสบการณ์ในการทำมิวสิคเฟสติวัลมาหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะ การจัด Heineken Fat Festival ในสามครั้งแรก รวมทั้งยังได้เคยไปร่วมงาน Glastonbury Festivals จนเกิดแรงบันดาลและใฝ่ฝันจะสร้างมิวสิคเฟสติวัลใหญ่ๆ ของคนไทยสักครั้ง จนในที่สุด บริษัท “เกเร” ก็ถือกำเนิดขึ้นเพื่อรองรับการสร้าง Show Business ที่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อโปรโมตเฉพาะศิลปินในสังกัดของเครือ GMM Grammy เท่านั้น
วันหนึ่ง ผมได้ตอบรับคำเชิญไปนั่งคุยกับป๋า ป๋ามานั่งเล่าให้คนกลุ่มหนึ่งได้ฟัง เรื่องราวรายละเอียดของความฝันที่กำลังจะกลายเป็นความจริง กับพื้นที่ประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร ของโบนันซ่า ของ สงกรานต์ เตชะณรงค์ เป็นการใช้พื้นที่อย่างเต็มๆ ครั้งแรกสำหรับงานเฟสติวัล ด้วยเวทีถึง 3 เวทีต่างๆ สไตล์เพลง มีพื้นที่กางเต็นฑ์ มีผับสำหรับดนตรีกลุ่มเล็กๆ รวมทั้งได้เห็นแนวคิดต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้อย่างเต็มเปี่ยม กลายเป็น Thoughtful Music Festival อย่างแท้จริง คนคิดก็ไม่ใช่ใคร สองคนจากสองประเทศ แจ็ค คนไทย จิโร่ คนญี่ปุ่น ช่วยกันผสานความคิด จนกลายเป็นเมืองดนตรีที่ขี้เล่นที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ถ้าคุณชอบฟังงานดนตรีที่หลากหลาย ชอบบรรยากาศของเฟสติวัลบนพื้นที่กว้างๆ เมื่อเข้าไปอยู่เหมือนได้พบกับเมืองๆ หนึ่งที่มีคนที่รักเสียงเพลงเหมือนกัน ในราคาที่สมเหตุผล Big Mountain Music Festival เป็นคำตอบที่ผมว่าตรงที่สุดสำหรับนาทีนี้
นอกจากรายชื่อศิลปินที่เป็นที่รู้จักทั่วไป: Bodyslam, Moderndog, Groove Riders, Tattoo Colour, Slot Machine, Scrubb, Apartment Khunpa, ETC, Calories Blah Blah
ยังเป็นการกลับมารวมตัวกันของศิลปินที่หลายคนเคยติดตาม อย่าง พราว, Siam Secret Service และ 2 Days Ago Kids
รวมทั้งยังเป็นพื้นที่ของกลุ่มศิลปินอินดี้มาแรงมากมายอย่าง Abuse The Youth, Tabasco, Stylish Nonsense, Poomjit, Gene Kasidit, Art Floor, Yellow Fang, จีน มหาสมุทร, The Diet Pills และอีกมากมาย
3 เวทีใหญ่ เริ่มด้วยแดนซ์อารีน่าที่ปากทางเข้าด้วยเพลงเต้นมันๆ จากกลุ่ม dudesweet และ Mashroom จุดที่มีแลนด์มาร์กอย่าง Dancing Tree ต้นไม้ยักษ์ที่จะชวนคุยมาเต้นโต้รุ่งทั้ง 2 คืน แถมดักไว้ตรงทางเข้า ใครอยากกลับจะต้องเจอเจ้าต้นไม้นี่ดักเอาไว้ คุณไม่มีทางได้กลับง่ายร้อก! มาถึง Forest Stage เวทีใหญ่สุดที่มาพร้อมสวนสนุกและดนตรีแนว Pop และ Rock ที่เต็มไปด้วยศิลปินดังๆ และ Mountain Stage เวทีรองที่ฉากหลังเป็นภูเขา มีวัวยักษ์ที่ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง (ฮามาก มันสามารถ พ่นควัน เป่าฟองสบู่ แลบลิ้น สั่นหัว เปลี่ยนสีตา ไปยืนเล่นบนหัวมันได้ โอย เอากะมันดิ) เวทีนี้สำหรับคนที่ชอบเพลงสไตล์ฟังสบายๆ ไปจนถึงสกาๆ
ยังมีผับเล็กผับน้อยที่แทรกตัวกระจายในจุดที่ห่างไกลกัน ผับพวกนี้จะเปิดหลังตีสองหลังเวทีใหญ่เงียบเสียงลง สำหรับพวกค้างคาวขี้เมาทั้งหลายโดยเฉพาะ ขับกล่อมกันด้วยศิลปินกลุ่มเล็กที่เหมาะกับกลุ่มคนขนาดไม่ใหญ่ไม่โต นอกจากพื้นที่กางเต็นฑ์ (ที่จ่ายเพียงจุดละ 300 บาท) ที่ตั้งชื่อโซนเผื่อจำไม่ได้หาไม่เจอ อย่าง ทองหล่อ สีลม และ (อะไรหว่า) มีทีมงานคอยตรวจตรา ไม่ใช่ว่า ใครก็เดินไปเยี่ยมคุณได้อย่างนั้นคงไม่ปลอดภัย แล้วก็ยังมีพื้นที่สำหรับอาหารการกินและการจับจ่าย แบ่งโซนเอาไว้ด้วยชื่อคุ้นหูอย่าง พารากอน, สยามสแควร์ และ (อะไรอีกหว่า)
การเดินทางก็เข้าง่ายขึ้นด้วยระยะทางเพียง 1 กิโลเมตรจากถนนใหญ่ มีที่จอดรถหน้าทางเข้างาน ไร้ฝุ่นควันไปรบกวนแน่นอน ห้องน้ำเตรียมไว้ทุกจุด เน้นไปที่ความสะอาด (ป๋าบอกว่า เข้าครบ 4 คน จะเข้าเช็ดพร้อมฉีดน้ำหอมทันที สุดยอด) จริงๆ แล้วมันไม่แปลกสำหรับงานเฟสติวัลถ้าคุณจะต้องยืนรอคิว แต่ถ้าเดินเข้าไปแล้วเห็นสภาพรับไม่ได้ คุณคงรู้สึกแย่ยิ่งกว่า ความสะอาดจึงเป็นเรื่องหลักที่ป๋าใส่ใจ ด้วยการใช้งานเต็มพื้นที่ ทำให้รองรับผู้เข้าชมงานได้ 30,000 คนเลยทีเดียว
สาธยายมายังไม่หมด ป๋าเล่ามาอย่างยาว ประเภทคิดกันมาได้ไง เยอะแยะปานนี้
เริ่มต้นตั้งแต่วันศุกร์ที่ 5 ไปจนถึงวันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2553 สองวันสองคืน ที่ไร่โบนันซ่า เขาใหญ่ บัตรราคาเดียวเที่ยวสองวันพันสี่ (1,400 บาท) ซื้อบัตรกันได้ที่ Thai Ticket Major ทุกสาขา แถมผ้าขาาวม้า มาหา ณ วัว ฟรี (ภายใน 15 ธันาวา นะครับท่าน)
แล้วไปเจอกันนะคร้าบบบบบ!