ช่วงนี้ ผมยังดูหนังฟรีบ่อยอยู่เช่นเคยครับ ล่าสุด ก็ได้ตั๋วฟรีมาจาก Citibank มาใบนึง มันจะหมดอายุวันที่ 30 พ.ย. พอดิบพอดี เลยชักชวนคนข้างๆ ไปดูหนังด้วยกัน นั่งไล่ดูรายชื่อหนังแล้วก็จิ้มไปที่เรื่องนี้ ‘Twilight’
ภาพยนตร์จากนิยายขายดีของ Stephenie Meyer นักเขียนหญิง แล้วก็กำกับเป็นภาพยนตร์บนจอยักษ์ โดย Catherine Hardwicke ดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์โดย Melissa Rosenberg แต่ละคนล้วนเป็นผู้หญิงทั้งหมดเลย ไม่น่าแปลกใจที่ผมดูหนังเรื่องนี้แล้วจะรู้สึกได้ถึงความเป็น “ผู้หญิง” อย่างเต็มๆ
เดิมทีดูตัวอย่างแล้วก็รู้สึกหนังน่าสนใจ แต่ก็ยังไม่แรงผลักให้รู้สึกว่า ต้องไปดูในโรง ยังรู้สึกว่าไปดูตามหลังก็ได้ ไม่น่าจะเป็นไร แต่แล้วเพราะความเสียดายตั๋วฟรีนี่แหละ เลยต้องเข้าไปดูในโรง และโรงที่เลือกก็คือ เมเจอร์ รัชโยธิน โรงที่ได้ดูก็คือ โรง 13
ตำแหน่งที่นั่ง ถือว่า โอเคพอสมควร D17-D18 กลางจอ แต่ก็ไกลจอพอสมควร รอบ 18.55 น. แต่ก็ต้องนั่งดูโฆษณากับหนังตัวอย่างกันไปก่อน ผมเป็นพวกตรงเวลาครับ เขาว่ากี่โมงก็เข้าเท่านั้นเลย ในที่สุดก็เหมือนเดิม คือ ต้องดูโฆษณากันไปครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
ก่อนหนังจะฉาย…
รีวิวหนัง ‘Twilight’
หนังเปิดตัวมาอย่างง่ายๆ เล่าถึง ที่มาที่ไปของนางเอก Bella Swan ที่ต้องห่างจากแม่และพ่อเลี้ยงกลับไปอยู่ในเมืองเล็กๆ กับพ่อตัวจริง เมืองที่ฝนตกมากที่สุดในประเทศ แทบจะเรียกได้ว่า วันที่ฟ้าโปร่ง แสงอาทิตย์ส่องลงพื้นดินมีเพียงไม่กี่วันใน 1 ปี ช่างดูเป็นเมืองที่เหมาะกับการพักอาศัยของแวมไพร์เสียจริง
เมื่อเธอมาอยู่เมืองใหม่ เธอต้องย้ายมาเรียนในที่ๆ ไม่คุ้นเคย พบกับเพื่อนใหม่ที่ดูไม่ค่อยชอบเธอสักเท่าไหร่ แต่อะไรก็ไม่แปลกไปกว่ากลุ่มพี่น้องตระกูลคัลเลน ที่โดดเด่นกว่าใคร แถมไม่คบไม่สุงสิงกับใคร คนที่เธอรู้สึกสะดุดตาสุดกลับเป็น Edward ที่ยิ่งดูยิ่งกลับสงสัยในพฤติกรรมของเขา
จนวันหนึ่ง เขาช่วยเธอจากอุบัติเหตุ เขาว่องไวและมีพลังกำลังเกินมนุษย์มนา เขาเป็นใคร?
ผมไม่ได้สปอยล์เลยนะครับ เพราะนี่คือสิ่งที่เล่าอยู่แล้วในหนังตัวอย่าง คุณคงรู้แล้วว่า เขาเป็นแวมไพร์ (เป็นแวมไพร์ที่ต้องแสงตะวันได้เสียด้วย แถมผิวจะส่องประกายระยิบเมื่อต้องแสงตะวัน จินตนาการบรรเจิดมาก) และก็คงรู้แล้วว่า ทั้งสองคนรักกัน และแน่นอนว่า เรื่องนี้ต้องมีตัวโกง และแน่นอนเช่นกัน ว่าเป้าหมายคือ Bella อย่างไม่ต้องสงสัย
สิ่งที่ผมพบก็คือ หนังเริ่มด้วยการดำเนินเรื่องแบบเรียบๆ ใช้ดนตรีประกอบน้อยมาก จนรู้สึกเหมือนกับกำลังดูหนังญี่ปุ่นอยู่ เรียบเรื่อยจนน่าเบื่อ ก่อนจะเริ่มเปิดตัวให้เราได้รู้จักตัวตนอันน่าตื่นตาของกลุ่มคัลเลน ภาพบนจอยักษ์นั้นช่างสวยงาม ด้วยสภาพป่าที่ชุ่มชื้นเฉียวชอุ่ม (คงเห็นไปบ้างแล้วสินะจากตัวอย่าง) แต่สิ่งที่ผมพบคือความแตกต่างจากอารมณ์หนังแวมไพร์ที่เคยดูๆ มา
อารมณ์ความรักที่โรแมนติก หวาน..หวานมาก ถูกใส่ลงมาในหนังแวมไพร์ นี่อาจเป็นเพราะทีมงานสำคัญในโปรเจกต์นี้เป็นผู้หญิง
เมื่อแวมไพร์เกิดอยากเป็นมังสวิรัติ (ในความหมายเสมือน) พวกเขาละเว้นการกินเลือดมนุษย์ แต่ต้องมาอยู่กับมนุษย์อย่างใกล้ๆ ชิดๆ แบบนี้ อดใจไว้เร้อ….
นี่ไม่ใช่หนังแอ็คชั่นมันๆ ที่เราพบได้ทั่วไป แต่มันมีอารมณ์ที่ไม่เหมือนใคร แม้ว่าจะมีกีฬาเบสบอลเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่อารมณ์มันก็ยังเป็นแบบผู้หญิงอยู่เช่นเดิม ดูๆ ไปก็ยิ่งรู้สึกเหมือนดูหนังโรแมนติกแบบวัยรุ่น ที่เอาพล็อตแวมไพร์เข้ามาสลับฉาก
ถ้าถามว่า ชอบมั้ย สำหรับผม ผมว่ามันโอเคนะ แปลกดี แถมนางเอกก็สวยด้วย Kristen Stewart จาก ‘Jumper’ (โอว…ทำไมเราจำไม่ได้) ขณะที่พระเอกแสดงโดย Robert Pattinson หรือ Cedric ใน ‘Harry Potter and the Goblet of Fire’ ก็หน้าเหลี่ยมเสียจนผมหมดความสนใจ เททั้งหมดไปที่นางเอกดีกว่า เหอๆ
สำหรับแฟนนิยาย Twilight คงไม่พลาดที่จะมาดู แต่สำหรับคนที่ไม่ใช่ ผมว่ามันก็ไม่เลวนะ หากคุณจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงในโรงหนังกับแฟน ได้ข่าวว่า นิยายนี่มี 4 เล่มเสียด้วย สงสัย คงได้ทำเป็นหนังอีกเป็นแน่แท้…
ดูหนังเสร็จก็ออกมาช้อปปิ้งที่ตลาดข้างโรงหนัง ได้เสื้อกันหนาวมา 2 ตัว น่าจะพอให้ความอบอุ่นกับร่างกายในวันไปเที่ยวดอยที่กำลังจะมาถึง
หนังฟรีเรื่องหน้าของผม… จะเป็นเรื่องไหนกันนะ??
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | Twililight / แวมไพร์ ทไวไลท์ |
กำกับ | Catherine Hardwicke |
เขียนบท | Melissa Rosenberg |
แสดงนำ | Kristen Stewart, Robert Pattinson, Billy Burke |
แนว/ประเภท | Drama, Fantasy, Romance |
เรท | PG-13 |
ความยาว | 122 นาที |
ปี | 2008 |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
เข้าฉายในไทย | 28 พฤศจิกายน 2008 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | Summit Entertainment, Temple Hill Entertainment, Maverick Films |