แย่จังที่ดันมาป่วยเอาอีตอนใกล้จะไปเที่ยวซะได้ เลยต้องพักผ่อนอยู่กับบ้าน เพื่อทำนุบำรุงร่างกายตัวเองให้หายทันพร้อมจะไปเที่ยว เอ้ย พร้อมจะกลับมาทำงานต่อได้อีกครั้ง โดยปกติ เวลาผมป่วย ผมมักจะไม่เปิดเผยให้ใครได้รู้ในบล็อก คนอาจจะคิดว่า ผมไม่เคยป่วย แต่จริงๆ ผมก็คนแหละครับ
วันนี้ ผมจะขอกลับมาเขียนถึง “รักแห่งสยาม” อีกครั้ง
บางอย่างที่เขียนไปวันก่อน อาจจะยังแทนใจผมได้ไม่หมด ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผมยังไม่ได้เขียน และอาจยังคั่งค้างคาใจอยู่เช่นนั้น หากไม่ยอมเขียนมันในวันนี้ (วันที่ฉันป่วย)
——————————–
01
เมื่อวันก่อน ผมเขียนไปว่า รักแห่งสยาม ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่อง “เกย์ๆ” จนมีคุณผ่านมา เข้ามาเขียนในประเด็นที่ผมไม่มีความรู้เพียงพอ นั่นคือ ในบ้านเรามีเกย์จริงๆ หรือเปล่า ผมคงต้องบอกว่า ผมอาจจะผิดพลาดเอง ใช้คำพูดผิดไปเอง มันอาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ เพราะผมไม่ได้อยู่ในแวดวงเกย์ ไม่มีความรู้เกี่ยวกับคำว่า “เกย์” เพียงพอ ผมไม่รู้ว่า “เกย์” กับ “Y” ต่างกันยังไง ใครรู้ก็ช่วยบอกผมทีนะครับ
แต่ผมขอคงชื่อและเนื้อความไว้เช่นนั้น เพราะคิดว่า คนทั่วไปเข้าใจสิ่งที่ผมสื่อได้ประมาณหนึ่งอยู่แล้ว
02
ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับคุณผ่านมาอยู่เรื่องหนึ่งครับ คือ รักแห่งสยาม มีการวางหมากในการตลาดไว้อย่างแยบยล ด้วยการ “หลอก” ผู้บริโภคเพื่อหวังผลด้านรายได้
หนังที่มีเนื้อหาพูดถึงคนรักเพศเดียวกัน ไม่เคยประสบความสำเร็จในประเทศนี้ แต่มันสามารถเป็น Talk of the Town ได้ เขาจึงเลือกหยิบมาพูดถึงในหนัง แต่ไม่เอามาเป็นประเด็นเขื่อง เลือกที่จะไปเขื่องกับประเด็นครอบครัวแทน ซึ่งสร้างน้ำหนัก คุณค่า และคุณภาพให้กับหนังได้มากโข
ตอนโปรโมต ก็ใส่ภาพความเป็นหนังรักใสๆ วัยรุ่นๆ เข้าไป เพื่อชักชวนให้คนสนใจใคร่อยากดู ภาพโปสเตอร์ก็ไม่ได้บ่งบอกความเป็นหนัง Y หรือหนังสะท้อนสังคมอะไรให้เห็นแม้แต่น้อย ชักชวนให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดไปอีกทาง
เมื่อผู้ชมรุ่นแรกๆ ออกมาจากโรง ก็จะกลายเป็นผู้ป่าวประกาศการถูกหลอกอันน่าช็อคนั้นแก่ฝูงชน แล้วมันก็กลายเป็น Talk of the Town ไปในทันที
แน่นอนว่า มีเสียงของความรู้สึกที่แตกต่างกันเกิดขึ้นแน่นอน ทั้งต่อต้าน ทั้งชื่นชม คละๆ กันไป แต่น้ำหนักด้านสะท้อนสังคม ความละเอียดละออ เนื้อหาที่เข้าถึงจะทำให้กระแสด้านดีถูกบอกต่อ และกลบความเลวร้ายของ “การถูกหลอก” ให้เลือนๆ ไป วิธีการง่ายๆ ก็เพียง หาตุ๊กตามาสักตัว ตั้งกระทู้จูงใจคน ดึงกระแสดีมากลบ และเข้าไปสมทบกระแสอยู่ตลอดเวลาด้วยการตอบกระทู้ด้วยวาทะเด็ดๆ เป็นประจำ กระแสการบอกต่อก็ย่อมแข็งแรงและมีมาไม่ขาดสาย
วันนี้ ผมก็ได้รู้ตัวว่า “หนึ่งในกระแสนั้นก็คงมีผมอยู่ด้วยแหละครับ”
หนังเรื่องนี้ จึงไม่ “แป้ก” และสามารถทำกำไรได้อย่างดี อาจไม่ถึงกับรวยเป็นร้อยล้านแต่ก็ยิ้มหน้าบานกันแน่นอน ด้วยการตลาดที่ว่ามานี้
03
เราก็ได้แต่หวังว่า คงจะไม่มีการตลาดแบบนี้ออกมาอีกในหนังเรื่องถัดๆ ไป จากค่ายไหนๆ ก็ตาม เพราะผู้บริโภคจะเริ่มเรียนรู้ได้เมื่อมีประสบการณ์ เรื่องถัดๆ ไปที่ทำเช่นนี้ อาจจะไม่ได้รับกระแสที่ดีจากผู้ชมก็ได้
เราอาจจะตะขิดตะขวงใจกันอยู่บ้าง ที่ถูกหลอกให้ไปดูอะไรที่เราไม่ได้คาดหวัง เราอาจจะชื่นชมในความ “ดี” ของหนัง แต่เราไม่ลืมว่า ผู้สร้างหลอกเราไว้อย่างไรหรอกครับ
บางคน อาจจะบอกว่า คนดูไม่ควรจะคาดหวังจากหนังตัวอย่าง เพื่อเข้าไปเจอความผิดคาดในโรง ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ต้องโปรโมตสิครับ ตัดหนังตัวอย่างทำไม ถ้าไม่หวังโปรโมตให้คนรู้จักและอยากเข้าไปดู ไม่ใช่ผู้บริโภคทุกคนที่จะตามจริตจะก้านของนักการตลาดได้ทัน หนังตัวอย่าง ควรจะเป็นสิ่งบอกอะไรคร่าวๆ ที่หนังเป็นได้ประมาณหนึ่ง บอกให้รู้ว่า พวกเขาจะพบอะไร และยังมีอะไรบางอย่างที่พวกเขาต้องไปค้นหาในโรง
แต่ไม่ใช่ “การบอกอะไรที่ต่างกันสุดขั้ว” เช่นนี้
04
สุดท้าย คงต้องบอกว่า กระแสหนัง Y หนังเกย์ คงคืบคลานเข้ามาแย่งส่วนแบ่งในตลาดหนังบ้านเรามากขึ้น การยอมรับในกลุ่มพวกเขา็ก็คงจะมีมากขึ้นเป็นเงา เพราะอะไรที่เราพบเห็นบ่อย เราจะเริ่มเคยชิน ไม่นาน เราก็จะคิดว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่ใครจะกล้าการันตีได้ว่า คนไทยจะยอมรับคนกลุ่มนี้ได้อย่างสนิทใจ
มันอาจต้องใช้เวลา นานแค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่า คนกลุ่มนี้ต้องรู้จักรอคอย ธรรมชาติทำให้คนเราเชื่อในเรื่องเพศ (แบบชายคู่กับหญิง) มานานเป็นพันๆ ปี การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคงไม่สามารถทำได้ในเพียงชั่วข้ามคืน แต่โลกต้องเปลี่ยนไปเสมอ และช่วยควบคุมคนที่แสวงหาการยอมรับ หากเอาแต่มองโลกในแง่ร้าย ทั้งระรานคนที่คิดไม่เหมือนตน ให้วางตัวอยู่แต่ในความพอดี
เพื่อโลกนี้จะได้สงบสุขครับ
y มาจากภาษาญี่ปุ่นฮะ ??? (yaoi) เป็นประเภทการ์ตูนอย่างหนึ่ง y ก็มาจากตัวอักษรอังกฤษหน้าสุด ถ้าเป็นของหญิงก็จะมีชื่อว่า ?? (yuri) อันนี้ก็ตัวแรกเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า y หมายถึงประเภทแรก แล้วก็ยังมีแยกของเด็กอีก อันที่คนไทยน่าจะรู้จักกันดีก็คงเป็นประเภท h (????) -_-
ไม่มีเวลาดูซักที รักแห่งสยาม T T
ปล. หายป่วยเร็วๆนะคะ จะได้พร้อมไปเที่ยว เอ้ย ทำงาน ^ ^
ปกติผมเป็นคนไม่ได้สนใจหน้าหนังเท่าไร ไม่ค่อยได้ดูตัวอย่างหนัง (เพราะเมื่อใดที่ไปดูหนังเพราะหน้าจะผิดหวังและพลาดท่าเสียทีทุกที) อย่างเช่นโอปปาติก
แต่เรื่องนี้ไม่ผิดหวัง
เผอิญผ่านมานะครับ เพราะกำลังบ้าหนังเรื่องนี้อยู่เพราะเพิ่งไปดูเมื่อสัปดาห์
ส่วนประเด็นที่คุณ”ผ่านมา” พูดถึงผมก็สงสัยมานานแล้วเช่นเดียวกันในฐานะที่ผมเป็นเกย์อีกคนหนึ่ง(ที่เพื่อนบางคนที่รู้จักผมจิงๆยังไม่เชื่อว่าผมเป็นเกย์) แต่ก็ยังไม่เคยเห็นคนแมนๆขนาดมาริโอ้เป็นเกย์เลย มีแค่ข่าวลือกันเท่านั้นไม่สามารถหาหลักฐานกันมาพิสูจน์ได้
แต่ถ้าพิจารณาดูจากคำตอบต่างๆในกระทู้พันทิป จะพบว่ามีคนที่เคยเป็นแบบมาริโอ้และมิวอยู่จริง แต่ด้วยเงื่อนไขทางสังคมเองทำให้ในที่สุด พวกเขาก็ต้องต่างคนต่างเดิน ไปมีเมียมีลูกกันตามที่สังคมอยากจะเห็น
สรุปว่าทั้งเงื่อนไขทางสังคม+ความที่เป็นเกย์ที่ดูแมนมากๆของพวกเขา=ทำให้สังคมทั่วไปอยากแก่การที่จะเจอหรือเห็นพวกเขาอย่างชัดๆได้