รอคอยเธอมานานแสนนาน กว่าที่จะได้พบกับบทสรุปของหนังจากหนังสือดังเรื่องนี้กันเสียที แต่การณ์ก็กลับกลายเป็นว่าบทสรุปถึงแบ่งออกเป็น 2 ภาคย่อย และปลายปีนี้ เราจะได้ชมเพียงภาคต้นของบทสรุปเท่านั้น ‘The Hunger Games’ ภาคแรกเมื่อมีนาคม 2012 ผ่าน ‘Catching Fire’ ในช่วงพฤศจิกายนในปีถัดมา และพฤศจิกายนปีนี้ 2014 ก็ได้เวลาของ ‘The Hunger Games: Mockingjay – Part 1’ ภาคต้นของบทสรุปนั่นเอง
หลังผ่านการเล่นเกมในฮังเกอร์เกมส์มาสองครั้งสองครา แคทนิส เอฟเวอร์ดีน (Jennifer Lawrence) คงได้เวลาหยุดพักการเล่นเกมสักที มันเป็นเกมที่เธอไม่อยากเล่น ที่ทำไปก็เพียงจะไปแทนตัวน้องสาวเท่านั้น แต่ดูเหมือนมันมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับแล้ว เธอกำลังจะกลายเป็น “ม็อคกิ้งเจย์” ตัวแทนแห่งความหวังของ 12 เขตที่ถูกกดขี่โดยแคปปิตอลมาเนิ่นนาน
การผ่านมาสองเกมส์ ทำให้ภายในใจของแคทนิสเองก็มีความเปลี่ยนแปลง เธอรู้สึกอะไรบางอย่างกับพีต้า (Josh Hutcherson) ในระหว่างเกมส์ในภาคที่แล้ว ทิ้งให้ เกล (Liam Hemsworth) คนของเธอในภาคแรกให้ได้แต่เฝ้าคอยและเอาใจช่วยเธอเสมอมา แต่เกลก็ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในการปฏิวัติครั้งใหม่เช่นกัน
รีวิวหนัง ‘The Hunger Games: Mockingjay – Part 1’
หลังฮังเกอร์เกมส์ครั้งพิเศษในภาคที่แล้ว ประธานาธิบดีสโนว์ผู้รู้แจ้งแล้วว่าใครคือกบฎที่ลูบคมเขาถึงจมูก ก็จัดการกวาดล้างเขต 12 เสียสิ้น แต่กลุ่นคนที่เหลือรอดก็ยังคงกบดานอยู่ใต้ดินในเขต 13 และพยายามที่จะปลุกเร้าให้เขตต่างๆ ลุกขึ้นสู้ด้วยการประกาศให้ทุกคนรู้ว่า “ม็อคกิ้งเจย์” ของพวกเขายังคงอยู่ และเธอจะกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญในการปลุกเร้า
แต่ความเป็นจริงก็คือ เธอไม่ได้พร้อม… สำหรับสิ่งนั้น
ที่ผ่านมา แม้เธอจะอยู่ในเกม แต่เธอก็ใช้จิตใจตัวเองตัดสินมาตลอด ครั้งนี้ เธอก็ยังไม่อาจหลุดพ้นไปจากเกมได้ แต่การตัดสินใจของเธอจะต้องผลัดกันรุกผลัดกันรับระหว่างหัวใจและสมอง เธอตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายก็ไม่ออก และต้องประสานทุกๆ ทางเท่าที่จะเป็นไปได้ ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่กำลังระอุไปด้วยความรุนแรง การชิงความได้เปรียบและชิงไหวชิงพริบ การถูกกดขี่และการปลดแอก ทุกๆ อย่างเหมือนจำลองโลกจริงๆ ของมนุษยชาติลงไปอยู่ในหนังแห่งจินตนาการ ซึ่งต้องยอมรับว่า
มันให้ความรู้สึกกดดันกับผู้ชมอย่างเราๆ อยู่ไม่น้อย
บทหนังค่อนข้างส่งเสริมให้เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ได้แสดงความสามารถด้านการแสดงอย่างเต็มที่ ซึ่งเธอก็เอาอยู่ ขณะที่ภาคนี้ ดูเหมือนกับว่า Sam Claflin (จากหนัง ‘Love, Rosie’) จะโดดเด่นขึ้นมา และเขาก็ทำได้ไม่เลวทีเดียว มีบทบาทมากขึ้น จนรู้สึกว่าอาจจะเด่นมากกว่า Josh และ Liam ด้วยซ้ำ
ในภาคนี้ อาจรู้สึกได้ว่า Jennifer Lawrence สวยขึ้นมากกว่าทุกภาค อาจเพราะไม่ได้คลุกฝุ่นเลยสักวินาที ขณะที่รัศมีดาราก็จับ Sam Claflin มากขึ้นด้วย ทำให้รู้สึกว่า ภาคนี้เขาเด่นมากและมีเสน่ห์ขึ้นอย่างมากด้วย
โดยรวมแล้ว ถือว่า ‘ม็อกกิ้งเจย์ พาร์ท วัน‘ ทำได้ดีในแง่มุมความเป็นหนังดราม่า ทว่า ด้วยเหตุผลทางการตลาด ทำให้ภาคสรุปต้องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน แต่ต้องเกลี่ยความเป็นดราม่าที่จะทำให้เห็นแง่มุมด้านลึกของตัวละคร ที่จะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกอยากรู้ตอนจบให้เกิดขึ้นภายในใจคนดู
ก็ต้องถือว่า ภาคนี้ตอบโจทย์ได้ดีพอสมควร ด้วยทั้งพลังการแสดงของแต่ละคน ทั้งบทที่ส่งเสริมความเป็นดราม่าการเมืองที่น่าจดจำ แต่ถ้าพูดถึง จำเป็นแค่ไหนกับการที่ต้องแบ่งเป็นสองภาค
คำตอบในใจตอนนี้ ภาคเดียว 3 ชั่วโมง คือ สุดยอดหนังภาคจบเรื่องนี้สำหรับผมครับ
ชื่อภาพยนตร์: The Hunger Games: Mockingjay – Part 1 / เกมล่าเกม ม็อกกิ้งเจย์ พาร์ท 1
ผู้กำกับภาพยนตร์: Francis Lawrence
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Peter Craig (screenplay), Danny Strong (screenplay),
นักแสดงนำ: Jennifer Lawrence, Josh Hutcherson, Liam Hemsworth, Philip Seymour Hoffman, Julianne Moore, Sam Claflin
แนว/ประเภท: Adventure, Sci-Fi
ความยาว: 123 นาที
เรท: ไทย/ , USA/PG-13
สัดส่วนภาพ: 2.35 : 1
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 20 พฤศจิกายน 2557
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย/สตูดิโอ: Color Force, Lionsgate
เกมล่าเกม ม็อกกิ้งเจย์ พาร์ท 1
The Hunger Games: Mockingjay - Part 1 - 7.1
7.1
The Hunger Games: Mockingjay - Part 1
โดยรวมแล้ว ถือว่า 'The Hunger Games: Mockingjay - Part 1' ทำได้ดีในแง่มุมความเป็นหนังดราม่า ทว่า ด้วยเหตุผลทางการตลาด ทำให้ภาคสรุปต้องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน แต่ต้องเกลี่ยความเป็นดราม่าที่จะทำให้เห็นแง่มุมด้านลึกของตัวละคร ที่จะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกอยากรู้ตอนจบให้เกิดขึ้นภายในใจคนดู