The Hobbit คือชื่อของหนังสือเล่มนั้น และมันได้กลายมาเป็น ‘The Hobbit: An Unexpected Journey (2012)’ ต่อเนื่องมาที่ ‘The Hobbit: The Desolation of Smaug (2013)’ และในปีนี้มันก็คงจะถึงเวลาของภาคจบอย่าง ‘The Hobbit: The Battle of the Five Armies’ เสียที ภาคนี้มีชื่อไทยอย่างเป็นทางการว่า “เดอะฮอบบิท สงคราม 5 ทัพ”
ติดตามผลงานของ Peter Jackson มาโดยตลอดหลังจากไตรภาค ‘The Lord of The Rings’ เลยนะเนี่ย ทึ่งและตะลึงในมุมกล้อง เทคนิค และเรื่องราวอันอลังการงานสร้างอย่างมาก แถมยังมีทิ้งท้ายให้ติดตามภาคต่อไปอย่างเอาอยู่ เมื่อคุณปีเตอร์เขาอยากจะสร้างหนังจากนิยายของ J.R.R. Tolkien อีกครั้ง ด้วยการขยายเนื้อหาจากหนังสือเล่มเดียวให้กลายเป็น (ตอนแรกก็แค่ทวิภาค แต่ต่อมาก็กลับกลายเป็น) หนังไตรภาคอีกครั้ง ซึ่งมันคือ ไตรภาคก่อนหน้าของพันธมิตรแห่งแหวนที่เราเคยประทับใจไปนั่นเอง
เรื่องราวที่ต่อเนื่องจากภาคก่อนหน้าอย่างแทบจะทันที เริ่มเรื่องได้หวือหวาพอสมควร ก่อนจะเข้าช่วงเวลาการเดินอย่างเรียบนิ่งแต่งดงามอีกครั้ง
รีวิวหนัง ‘The Hobbit: The Battle of The Five Armies’
แม้ว่าในภาคนี้จะมีจุดเด่นที่สงครามยักษ์ระหว่างมนุษย์หลายเผ่าพันธุ์ที่มีความต้องการอย่างเดียวกัน แต่หนังก็ยังคงมีจุดศูนย์กลางที่ตัว บิลโบ แบ็กกินส์ อย่างไม่หลุดประเด็น เมื่อเหล่าคนแคระได้พบเจอสมบัติที่ต้นดั้นด้นค้นหากันมา และภยันตรายอย่างเจ้ามังกรสม็อคถูกดับสิ้นลง ภัยอีกด้านหนึ่งกลับเป็นเรื่องภายในจิตใจของพวกเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นชนกลุ่มใด ต่างก็มีความโลภเป็นของตัวเอง
เช่นเดียวกับที่เราเคยได้พบว่า มังกรสม็อก็มีความโลภเฉกเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นเหล่าคนแคระที่คิดจะปกป้องเมืองของตนไว้จากกลุ่มชนเผ่าอื่นที่หวังในสมบัติและสุดยอดเพชรเม็ดงามซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใน แถมยังเรียกทัพคนแคระอีกกลุ่มเข้ามาหมายให้ช่วยเหลือ หรือจะเป็นเหล่าเอลฟ์ที่หวังจะได้สร้อยอัญมณีสีขาวที่ถูกเหล่าคนแคระยึดครองเอาไว้ มนุษย์ชาวเมืองลอยน้ำที่หวังเพียงเรียกค่าเสียหายจากความสูญเสีย รวมไปถึงเหล่าออร์คที่ถูกเพาะพันธุ์และปลุกระดมโดยจอมมาร
โดยที่บิลโบ กลายเป็นบุคคลที่ไม่เข้าพวกใดๆ กับคนเหล่านี้ เป็นแต่เพียงผู้ร่วมเดินทาง แต่เมื่อไปถึงก็ไม่ได้มีความเดียวกับกลุ่มคนแคระ และตัวเขาเองก็ยังเก็บซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ ขณะที่พ่อมดเทาอย่างแกนดาล์ฟ ก็ยังไปๆ มาๆ แต่ก็มีบทบาทสำคัญต่อขบวนเดินทางขบวนนี้อยู่ดี
ต้องยอมรับว่า งานของ Peter Jackson นั้นโดดเด่นในด้านมุมกล้องและเทคนิคพิเศษจริงๆ แต่ภาคนี้กลับเพิ่มจุดเด่นที่การตัดต่อของภาพสงครามได้อย่างน่าตื่นตา หากสิ่งหนึ่งที่ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย คือ การดำเนินเรื่องที่เรื่อยๆ ไม่เร่งเร้า ไม่มีผ่อนเร็วช้า และบทที่ไม่ซับซ้อนมากมาย อีกทั้งไม่บิ๊วให้รู้สึกอะไรมากมาย คนที่พักผ่อนมาไม่เพียงพอ (หรือแม้แต่เพียงพอก็ตาม) ก็อาจจะมีหาว มีสัปหงกได้ในบางที แต่หากคุณอดทนรออีกสักหน่อย ก็อาจจะได้พบว่า ฉากสงครามในพาร์ทหลังของหนังก็ดูสนุกอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะลีลาการรบแบบเทพๆ อย่างเลโกลัส
การดำเนินเรื่องในภาคนี้ ถือว่า ทำได้รวดเร็วไม่เยิ่นเย้อเหมือนภาคก่อน เสริมแง่มุมความรักเข้ามาเพิ่มเติม ทำให้หนังดูมีมิติขึ้น แต่ก็พบว่า ความแปลกใหม่และความตื่นตาตื่นใจของ The Hobbit ทั้งสามภาคยังไม่อาจเทียบความติดตาตรึงใจได้เท่าที่เคยทำได้กับ ‘The Lord of The Rings’ กระนั้นก็ยังพอจะถือได้ว่า
เป็นภาคจบที่ทำได้ค่อนข้างดี!
ชื่อภาพยนตร์: The Hobbit: The Battle of The Five Armies / เดอะ ฮอบบิท สงคราม 5 ทัพ
ผู้กำกับภาพยนตร์: Peter Jackson
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Fran Walsh (screenplay), Philippa Boyens (screenplay), Peter Jackson (screenplay), Guillermo del Toro (screenplay), J.R.R. Tolkien (novel “The Hobbit”)
นักแสดงนำ: Ian McKellen, Martin Freeman, Richard Armitage, Benedict Cumberbatch, Luke Evans, Orlando Bloom, Cate Blanchett
แนว/ประเภท: Adventure, Fantasy
ความยาว: 144 นาที
เรท: ไทย/ , USA/PG-13
สัดส่วนภาพ: 2.35 : 1
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 18 ธันวาคม 2557
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย/สตูดิโอ: New Line Cinema, Metro-Goldwyn-Mayer (MGM), WingNut Films,
เดอะ ฮอบบิท สงคราม 5 ทัพ
The Hobbit: The Battle of The Five Armies - 7.2
7.2
The Hobbit: The Battle of The Five Armies
การดำเนินเรื่องในภาคนี้ ถือว่า ทำได้รวดเร็วไม่เยิ่นเย้อเหมือนภาคก่อน เสริมแง่มุมความรักเข้ามาเพิ่มเติม ทำให้หนังดูมีมิติขึ้น แต่ก็พบว่า ความแปลกใหม่และความตื่นตาตื่นใจของ The Hobbit ทั้งสามภาคยังไม่อาจเทียบความติดตาตรึงใจได้เท่าที่เคยทำได้กับ 'The Lord of The Rings' กระนั้นก็ยังพอจะถือได้ว่า เป็นภาคจบที่ทำได้ค่อนข้างดี!