เราอาจไม่มีวันได้รู้ว่า ในวันที่เรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มีใครสักคนหรือสักกลุ่มหนึ่ง ที่เฝ้ามองพฤติกรรมของเราอยู่รึเปล่า สิ่งที่เราพบเจอในชีวิต ทั้งเรื่องบังเอิญและจงใจ มีใครคอยบงการอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า อย่างที่ ‘The Adjustment Bureau’ พาเราไปนั่งมองชีวิตมนุษย์ในอีกมุมหนึ่งในโรงหนัง
อาจจะเป็นจินตนาการที่พัฒนาเสริมเติมต่อมาจาก “เรื่องสั้น” เรื่อง ‘Adjustment Team’ กลายเป็นหนังยาวที่ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนดู The Matrix ในสไตล์ของโรแมนติกผสมจินตนาการแฟนตาซี แทนที่จะเป็นไซไฟ
หลายคนอาจสงสัย หนังเข้าแล้วเหรอ ยังครับ วันนี้เป็นรอบพรีวิว ที่จัดขึ้นโดย The Nation ทำให้ผมได้เข้าชมก่อนใครหลายๆ คนในโรงหนัง The Esplanade รัชดาฯ
ช่วงนี้ เหมือนกับได้ดูหนังของพระเอก Matt Damon บ่อยครั้งขึ้น ไม่รู้ทำไม
ผมเพิ่งเคยได้ดูหนังตัวอย่างของ The Adjustment Bureau พลิกชะตาฝ่าองค์กรนรก เรื่องนี้ในวันที่ผมไปนั่งดู Black Swan มาเองครับ ก่อนหน้านี้ แทบจะไม่ได้รับข่าวสารเกี่ยวกับหนังเลย นอกเหนือไปจากแผ่นป้ายโฆษณาที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT)
อารมณ์แทบจะสดใหม่ เพราะผมเองก็ไม่ได้เก็ทอะไรมากนักจากหนังตัวอย่าง
หนังเล่าเรื่องเหนือธรรมชาติที่มนุษย์อย่างเราๆ อธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ครับ ค่อนข้างเลยเถิดไปถึงขั้นแฟนตาซีด้วยซ้ำ มันจึงไม่ต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง แต่เอาความเป็นจริงในความเป็นไปของมนุษย์ในช่วงเป็นร้อยๆ พันๆ ปีที่ผ่านมา เสริมทัพด้วยจินตนาการเข้าไปนั่นเอง มนุษย์เราอยู่บนโลกมานาน และในประวัติศาสตร์ของเรา ก่อสิ่งเลวร้ายเอาไว้เยอะแยะ
เพราะนอกจาก มนุษย์จะมีสติปัญญาสูงแล้ว เรายังเก่งในเรื่อง อารมณ์ ตัณหา ราคะ อีกด้วย!
หลายครั้งที่เราตัดสินใจทำสิ่งใด เราใช้สมองหรือจิตใจ อย่างไหนมากกว่า หากว่าคุณชื่อ David Norris (Matt Damon จาก ‘Hereafter’) ที่มีอดีตเป็นแบดบอย (ปัจจุบันก็อาจจะยังเป็น) มีต้องการมีชีวิตอยู่ในวงการการเมือง กำลังมีคะแนนนำอยู่ดีๆ กลับถูกสื่อขุดคุ้ยเรื่องวิวาทชกต่อย คะแนนย่อมลดฮวบ พลันคุณได้เจอสาวนางหนึ่ง นาม Elise Sellas (Emily Blunt จาก ‘The Devil Wears Prada’) ที่บังเอิญพบกันในห้องน้ำ ต่างถูกใจถูกคอกันทันที เป็นแรงบันดาลในสุนทรพจน์ครั้งสุดท้ายที่ไม่เคยมีใครกล้าทำ แต่แล้ว ทุกอย่างกลับพลิกผัน…
…เขาจะไม่ได้เจอเธออีกตลอดกาล
ด้วยเหตุผลบางอย่าง แผนการณ์บางอย่าง จากใครสักคนที่คุณไม่รู้ว่าใคร ผู้ทำทุกวิถีทางและทำงานกันเป็นองค์กรใหญ่เพื่อให้ทุกอย่างเป็นตาม “แผน” ที่วางเอาไว้ แต่บังเอิญว่า บางอย่างมันไม่ได้ “เป๊ะ” เสมอไป เขาจึงบังเอิญล่วงรู้ความลับนั้นเข้า
อันส่งให้องค์กรนี้ต้องรักษาแรงกระเพื่อมน้อยนั้นไว้อีกเป็นเวลานาน เพราะคนอย่างนอร์ริสนั้น …หาใช่คนธรรมดา
————–โปรดระวัง หลังจากนี้ อาจมีสปอยล์—————-
คนอย่างนอร์ริส นอกจากจะมีชีวิตครอบครัวที่ยุ่งเหยิง เติบโตมากับความเป็นแบดบอย หนังยังบอกเราว่า เขาเป็นพวกที่มักติดสินด้วยกำลัง นั่นคือ การบอกว่าเขาให้ “อารมณ์” เป็นใหญ่ในการเลือกจะกระทำอะไร และนั่นอาจอธิบายว่า ทำไมอนาคต ส.ว. หนุ่ม จึงยอมให้ความรักมามีอิทธิพลเหนือการตัดสินใจทั้งปวงของชีวิต
แม้ว่า การเลือก “ความรัก” จะดับอนาคตทั้งอนาคตของตัวเองก็ตาม
ดูไม่น่าเชื่อถือเลยใช่มั้ย แต่หนังไม่ได้มีมุมมองอยู่แค่นั้น หนังพูดถึงสิ่งที่ผมกล่าวถึงไปข้างต้น ถ้าโลกนี้มีคนเฝ้ามองมนุษย์อยู่จริงๆ สิ่งที่เราคิดว่าเรามีสติปัญญา เราเป็นคนเลือกและเป็นคนลิขิตชีวิตตัวเอง… อาจจะไม่ใช่ หากคุณคิดว่า คุณเลือกทุกอย่างได้ด้วยตัวคุณเอง อาจเป็นกับดักให้ใครสักคนเลือกใช้ให้เป็นประโยชน์ คุณอาจไม่รู้ตัวว่า กำลังเลือกเอง หรือกำลังถูกล่อให้เลือก
หากดูหนังไปแล้ว จะเห็นด้วยกับพระเอก คุณก็อาจเป็นพวกใช้ “จิตใจและอารมณ์” เป็นหลัก แต่หากดูแล้วรู้สึกไม่เห็นด้วย นั่นอาจเพราะคุณใช้ “สติปัญญา” เป็นหลักแทนก็เป็นได้
สัญลักษณ์…
หนังค่อนข้างทำได้ดีในแง่ของการถ่ายทำ ไม่มีเอฟเฟ็กต์ตรงสะดุด ด้วยเพราะไม่ได้ใช้เอฟเฟ็กต์ที่เลิศอลังการแต่อย่างใด หากใส่มาเพื่อสอดรับการดำเนินเรื่องเท่านั้น แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ การใส่สัญลักษณ์ (Symbol) ที่น่าสนใจลงไปในหนัง นั่นคือ ประตู และ หมวก ผมชอบในเรื่องประตูมากกว่าหมวก ด้วยมุมของความหมายและวิธีที่เอามาเล่าเรื่องได้หลายหลาก
ดราม่า…
หนังค่อนข้างมีบรรยากาศของความรักลอยอบอวลอยู่มากพอสมควร คนมีความรักย่อมมีอารมณ์ได้ เศร้า-ซึ้งตามไป แต่ไม่อาจเรียกน้ำตา ขณะที่นั่งเก็บเกี่ยวแง่มุมความหมายที่สอดแทรกไว้ในเรื่อง หนังมีจุดดี ที่ดำเนินเรื่องแบบหลายหลากอารมณ์ ปรับระดับอารมณ์ให้เร็วช้าสลับกันไป ทำให้หนังไม่น่าเบื่อ ผมชอบการเล่าเรื่องในช่วงแรก พบว่า จังหวะหนังระหว่างพระกับนางนั้นช่างน่ารัก ขณะที่คนจากองค์การนั่นก็ดูสร้างอารมณ์สุขแบบโรแมนติกให้คนดูอย่างผมได้เป็นอย่างดี
หนังแบ่งองก์ไว้พอชัดเจน องก์ปูพื้น และองก์เปิดเผยองค์กรนั้นทำได้ดี ขณะที่องก์คลี่คลาย กลับเลือกจะจบแบบเดิมๆ และไม่อาจพบคำอธิบายที่พออิ่มใจ เป็นการจบแบบที่ยังไม่มี “อะไร” มารองรับมากพอ อาจทำให้คนดูรู้สึก “ไม่สุด” เอาได้
ท่าจะต้องกลับไปหาเรื่องสั้น “Adjustment Team” ของ Philip K. Dick มานั่งอ่านดู คงได้อารมณ์ที่ “ควบแน่น” กว่า
ชื่อภาพยนตร์: The Adjustment Bureau / พลิกชะตาฝ่าองค์กรนรก
ผู้กำกับภาพยนตร์: George Nolfi
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: George Nolfi (screenplay), Philip K. Dick (short story “Adjustment Team”)
นักแสดงนำ: Matt Damon, Emily Blunt, Lisa Thoreson
แนว/ประเภท: Romance, Thriller
เรท: USA/PG-13, ไทย/น13+
ความยาว: 105 นาที
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Universal Pictures, Media Rights Capital, Gambit Pictures
ปี: ค.ศ. 2011/พ.ศ. 2554
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 3 มีนาคม 2554
1 คอมเมนต์