ไหนๆ วันนี้ ก็ได้หยุดทั้งที วันนี้ ขอชิลล์อยู่กับบ้านบ้างดีกว่า แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะมีภารกิจที่สองรออยู่ นั่นคือ วันนี้จะไปดูหนัง แม้ว่าจะมีคนพูดถึงในแง่ลบต่อหนังเรื่องนี้มากมาย แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความตั้งใจของผมได้ เฉียดๆ บ่ายสี่ รีบรุดออกจากบ้านไปยังโรงหนังเป้าหมาย Scala ในทันที ปรากฏว่า ต้องพบกับเซอร์ไพรส์ เมื่อเห็นป้าย Chris Unseen 2 หน้าโรง หน้าเว็บยังโชว์รอบฉายอยู่เลยนี่นา จากรอบ 16.30 น. ณ Scala จึงถูกเปลี่ยนไปเป็น 17.55 น. ณ Paragon Cineplex โดยปริยาย นั่งหม่ำแฮมเบอร์เกอร์รอเวลาชม ‘Skyline’ ในโรงกันล่ะทีนี้
เมื่อถึงเวลาก็เดินเข้าโรง 10 ไปทัศนา ‘Skyline’ หรือ ‘สงครามสกายไลน์ดูดโลก’ ในชื่อไทย เรื่องราวที่เขาโปรโมทด้วย คำโปรยที่ว่า “Don’t Look Up” หรือ “จงอย่ามองขึ้นฟ้า” พร้อมภาพของร่างเล็กร่างน้อยของมนุษย์ที่ถูกดูดขึ้นไปยังยานต่างดาวสุดน่าเกลียด …บนโปสเตอร์ใบนั้น
ตามปกติ ผมเป็นคนที่ชอบดูหนังประเภทมนุษย์ต่างดาวอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมาร้ายมาดี ผมดูหมด เรื่องนี้จึงไม่เว้น แม้จะได้รับเรทมะเขือเน่าแค่ไหนก็ตาม
รีวิวหนัง ‘Skyline’
เริ่มเรื่องมาอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ในค่ำคืนที่เมืองทั้งเมืองกำลังหลับใหล พลันปรากฏแสงสีฟ้าหล่นลงมาจากบนฟ้า ส่องแสงเจิดจ้าไปทั่ว ก่อนจะดูดกลืนมนุษย์ร่างเป็นๆ ด้วยการสะกดจิตขั้นเทพจากแสงอันเจิดจ้าของมัน หากคุณมองมัน จะทำให้เส้นเลือดของคุณปรากฏชัดในบางสัดส่วน ไม่นาน คุณจะถูกดูดเข้าไปหาด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้
เราคงเคยได้ยิน คำบอกเล่าเกี่ยวกับ UFO ที่เคยดึงมนุษย์ขึ้นไปทดลอง แต่ครั้งนี้จะใช่หรือเปล่า หนังตัวอย่างไม่ได้บอก แต่หนังในโรงมันบอกครับ
หนังดำเนินเรื่องได้ไม่เลว มีช่วงให้ลุ้น สลับกันไปกับช่วงพักบ้าง ซึ่งบางทีก็พักกันจนหาวเลยก็มี อาจดูเป็นอคติส่วนตัวที่ไม่ชอบยานของมนุษย์ต่างดาว มันดูไม่น่าจะเป็นยานเท่าไหร่ แต่เขาคงคิดนอกกรอบ มันเลยออกมาแบบนั้น สิ่งที่ดูตะขิดตะขวงใจ นอกจากที่มาที่ไปของการมาครั้งนี้ที่ดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลเพียงพอจะถูกตัดสินได้ว่าน่าสนใจ ก็คือ อานุภาพของแสงที่ทะลุใจคนได้ แต่กลับไม่สามารถทะลุทะลวงม่านกันแดดเข้ามาได้
แถมเท่าที่ดูแล้ว หาทางรอดจากสถานการณ์ได้ยากเย็นเหลือเกิน ถ้าเป็นจริง ก็ถอดใจตั้งแต่ล้มเหลวในครั้งแรกแล้วล่ะ มวยกันคนละกระดูก และฝีมือห่างกันไกลจริงๆ
การเขียนบทก็ถือว่า น่าสนใจตรงจุดที่ว่า หนังพาให้คนดูปะติดปะต่อเรื่องอยู่นาน กว่าจะรู้ว่า ตัวละครแต่ละตัวเป็นใคร มีอาชีพแบบไหน และกำลังมาทำอะไรกัน ไม่แน่ใจว่า ช่วยทำให้เรื่องสนุกตื่นเต้นขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า ขณะที่การบอกเล่าเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวแทบไม่ปรากฏให้เห็นจวบจนช่วงเฉลย เราได้พบเพียงแต่ การไล่ล่าในรูปแบบต่างๆ ของเอเลี่ยน ทั้งพวกบินได้คล่องแคล่วดังเครื่องเจ็ต พวกตัวใหญ่เดินดินพละกำลังสุดขั้ว และพวกหนวดยุ่บยั่บนักสอดแนม
แต่จุดที่ทำได้ดีกลับเป็น CG
แม้ว่า พล็อตเรื่องจะไม่มีอะไรมากไปกว่า การลุ้นให้ตัวละครรอดพ้นจากการไล่ล่าเพื่อดูด แต่ในด้านคอมพิวเตอร์กราฟิก นี่คือ งานหนึ่งที่ออกมาได้เนียนตามมาตรฐานของฮอลลีวูดที่ควรจะเป็น ถ้าจะถามว่า Skyline สนุกแค่ไหน คงต้องตอบไปตามเนื้อผ้า ว่าการดำเนินเรื่องสนุกในระดับหนึ่ง ได้ลุ้นว่าตัวละครจะรอดกันด้วยวิธีไหน แต่ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แม้ว่าจะได้พบกับจะหักมุมเล็กๆ ในตอนท้าย ที่อาจทำเพื่อทิ้งไว้สำหรับทำภาคต่อ
แต่ความอ่อนในพล็อตโดยรวม ทำให้หนังเรื่องยังไม่อาจหลุดพ้นจากความเป็น “หนังเกรดบีซีจีเนียน” ไปได้
ชื่อภาพยนตร์: Skyline / สงครามสกายไลน์ดูดโลก
ผู้กำกับภาพยนตร์: Colin Strause, Greg Strause
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Joshua Cordes, Liam O’Donnell
นักแสดงนำ: Eric Balfour, Scottie Thompson, Brittany Daniel, Crystal Reed, Neil Hopkins, David Zayas, Donald Faison
แนว/ประเภท: Sci-Fi / Thriller
เรท: USA PG-13, ไทย น 15+
ความยาว: 92 นาที
เข้าฉายในประเทศไทย: 11 พฤศจิกายน 2553
1 คอมเมนต์