หนังซูเปอร์ฮีโร่ในปีนี้ ดูเหมือนจะดาหน้ามาให้เราได้ชมได้เสพกันมากเป็นพิเศษ เรื่องราวของมนุษย์ผู้มีความพิเศษเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะเป็นได้ หนึ่งในนั้น เป็นกลุ่มมนุษย์กลายพันธุ์ผู้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มที่คิดต่างกัน วันนี้ เขามีภาคใหม่ ‘X-Men Dark Phoenix’ ในชื่อไทยตรงๆ ก็ ‘X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์’ นั่นแหละครับ
ภาคนี้ได้ Simon Kinberg มารับหน้าที่ทั้งเขียนบทและกำกับหนัง โดยดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนชุดชื่อดัง เขามีแต่เครดิตจากการโปรดิวเซอร์หนังและซีรีส์ดังมากมาย ทั้งยังเป็นมือเขียนบทที่เอ่ยชื่อขึ้นมาทุกคนต้องรู้จัก เช่น ‘X-Men: Days of Future Past’, ‘This Means War’, ‘Jumper‘, ‘Mr. & Mrs. Smith’ และอีกหลายเรื่องเลยล่ะครับ
เรื่องย่อหนัง ‘X-Men Dark Phoenix’
ในวันที่โลกมีเทคโนโลยีอวกาศ ส่งยานออกไปนอกโลกแต่กลับเจอกับสิ่งแปลกประหลาดที่ไม่อาจเอาอยู่ จึงต้องขอความช่วยเหลือจากเหล่ามนุษย์กลายพันธ์ ดร.ชาร์ลส์ เซเวียร์/โปรเฟสเซอร์ X (James McAvoy จากเรื่อง ‘Split‘ และ ‘Atomic Blonde‘) จึงส่งเหล่า X-เม็น ออกไปช่วยเหล่ามนุษย์อวกาศ
ทว่า สิ่งแปลกประหลาดที่อยู่ข้างนอกนั้น มันทำให้ จีน เกรย์ (Sophie Turner เธอเคยปรากฏตัวใน ‘X-Men: Apocalypse’ และแสดงเป็น ซานซ่า สตาร์ก ในซีรีส์ชื่อดัง ‘Game of Thrones’) กลายเป็นอีกคน เธอมีพลังร้ายกาจบันดาลได้ทุกสิ่ง และไม่มีมนุษย์กลายพันธุ์คนไหนในโลกที่จะทัดทานและทัดเทียมได้
เธอกลายเป็น ดาร์ก ฟีนิกซ์ ที่พร้อมจะทำลายได้ทุกสิ่ง และพวกเขาเหล่า X-เม็น ที่ยังคงเชื่อใจและตั้งมั่นจะช่วยชักพานำเธอกลับคืนมาอีกครั้ง
รีวิวหนัง ‘X-Men Dark Phoenix’
ด้วยความที่ได้ยินข่าวว่า ภาคนี้มีเลื่อนฉายอยู่หลายครั้ง มีการถ่ายซ่อมต่างๆ นานา ทำให้คาดเดาได้ยากว่าหนังจะออกมาอีท่าไหน ทั้งคะแนนมะเขือเน่าก็พังมาก ความคาดหวังที่มีต่อหนังจึงมีไม่มากนัก และกลายเป็นว่าพอไปดูเข้าจริงๆ ก็กลับพบว่า มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเช่นนั้นนี่หว่า
ใช้องก์แรกไปกับการเล่าที่มาของ ดาร์ก ฟีนิกซ์
หนังเริ่มต้นด้วยภารกิจนอกโลกอันเป็นสาเหตุของความยุ่งเหยิงแทบทั้งเรื่อง ภารกิจช่วยคนที่นอกโลกนั้น ทำให้จีนได้รับพลังอันไม่เคยคาดคิดและกลายมาเป็นดาร์ก ฟีนิกซ์ อย่างที่เห็นในตัวอย่างนั่น
จะว่าไป ดาร์ก ฟีนิกซ์ มีพลังเทียบเคียงได้กับ กัปตันมาร์เวล เลยทีเดียว นั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ต้องการถ่ายซ่อมและตัดต่อใหม่เพื่อไม่ให้มันคล้ายกันจนเกินไปนัก
และก็นับว่ามือเขียนบทก็มีความกล้ามากพอที่จะตัดใจปลิดชีวิตตัวละครสำคัญไปตั้งแต่เรื่องยังดำเนินไปได้ไม่นาน อันนำมาซึ่งเรื่องราวในส่วนที่เหลือ
และไม่ได้มีเพียงเหล่า X-เม็น หรือมิวแทนต์ฝั่งเซเวียร์อย่าง มิสทีก, บีสต์, ไซคล็อปส์, สตรอม, ควิกซิลเวอร์ และไนท์ครอวเลอร์ เท่านั้น ในภาคนี้ เรายังได้พบกับ แมกนีโต (Michael Fassbender จากหนัง ‘Alien: Covenant’, ‘The Light Between Oceans‘ และ ‘Steve Jobs‘) มิวแทนต์คนสำคัญที่ไม่อาจจะขาดไปเลยสักภาค เขาก็เข้ามาร่วมมีส่วนในเหตุวิฤติครั้งสำคัญของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ และส่งผลให้องก์สุดท้าย มีความสนุกมันกับฉากต่อเนื่องที่บู๊แอ็กชั่นมันระห่ำ
เพราะฉะนั้น ‘X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์’ จึงไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้นหรอกนะครับ
ไม่ได้ย่ำแย่ แต่เทียบสองภาคแรกไม่ติด
สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้ระหว่างรับชมคือ ใน 113 นาทีของหนัง ‘X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์’ ไม่มีสักครั้งที่จะเกิดอาการง่วงหาว แม้จะมีช่วงนิ่งๆ มีซีนดราม่าเข้ามาเป็นระยะที่ไม่ได้ทำให้อินอะไร แต่ก็ไม่ได้ทิ้งระยะนาน ทั้งยังมีช่วงแอ็คชั่นช่วงไคลแมกซ์ที่ชวนให้ลุ้นได้พอประมาณ ถือว่าไม่ได้ย่ำแย่อย่างคะแนนเบื้องต้นของชนมะเขือเน่า
เพียงแต่มูลเหตุของความเปลี่ยนแปลงให้ตัวซูเปอร์ฮีโร่อย่างจีน เกรย์ ที่แปรเป็นฟีนิกซ์ มันดูมีน้ำหนักน้อยไปนิดนึง เธอกลายเป็นกลายซูเปอร์ฮีโร่ที่เปราะบางเกินจะเชื่อได้ และช่วงเวลาของการคลี่คลายก็ดูง่ายดายเกินจะเข้าใจ
แม้แต่บทบางส่วนที่ทำให้เธอต้องปลดปล่อยพลังที่ไร้การควบคุมออกมานั่นก็ดูจงใจเกินไป จนใจไม่อาจจะเชื่อได้ และอาจเป็นที่ตรงนี้ที่ทำให้คะแนนลดลงยวบยาบเยี่ยงนั้น สำหรับผมแล้ว ในแฟรนไชส์ X-Men ที่รีบูทล่าสุด ชื่นชอบในสองภาคแรกอย่าง ‘X-Men: First Class’ (2011) และ ‘X-Men: Days of Future Past’ (2014)
หนังพยายามเล่าถึงเหล่าเอเลี่ยนที่มาเยือนเพราะไล่ตามสิ่งที่กลายเป็นหนึ่งเดียวกับจีน พวกมันกลายเป็นตัวร้ายที่แท้จริงในภาคนี้ และทำให้หนังต้องกล่าวถึงแมกนีโตผู้ซึ่งหลบไปปลีกวิเวกอยู่ อันนำมาซึ่งไคลแมกซ์ที่ลุ้นกันมัน แต่วิชวลอะไรๆ อาจจะไม่ได้ตะลึงตามากแต่ก็นับเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของหนัง
ผสมผสานด้วยองค์ประกอบที่โดนใจยิ่ง อย่าง….
เพลงประกอบสุดจี๊ดชวนมัน
ภาคนี้ได้ Hans Zimmer มาทำดนตรีประกอบให้ ซึ่งเป็นคนที่ทำดนตรีประกอบได้ชวนตื่นเต้น และอลังการงานใหญ่อยู่เป็นทุนแล้ว
เขาคือผู้ที่ทำดนตรีประกอบมาแล้วทั้ง ‘Gladiator’, ‘Inception’, ‘Dunkirk’, ‘The Dark Knight’ และอีกหลายต่อหลายเรื่อง ทำให้ฉากแอ็กชั่นของภาคนี้ออกมาได้ชวนตื่นตา กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้หนังเอาตัวรอดไปได้
และสำหรับใครที่คาดหวังฉากแถมตรง End Credit อยากบอกว่า “ไม่มีนะคร้าบบ”
ชื่อภาพยนตร์: X-Men Dark Phoenix / Dark Phoenix / X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์
ผู้กำกับภาพยนตร์: Simon Kinberg
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Simon Kinberg
นักแสดงนำ: James McAvoy, Michael Fassbender, Jennifer Lawrence, Nicholas Hoult, Sophie Turner, Tye Sheridan, Jessica Chastain
ความยาว: 113 นาที
ปี: 2019
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Sci-Fi
อัตราส่วนภาพ: 2.39 : 1
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
เรท: ไทย/G, MPAA/PG-13
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 6 มิถุนายน 2562
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: 20th Century Fox Film Corporation, Marvel Entertainment
X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์
พล็อตและบท - 5.2
การแสดง - 6
ดนตรีประกอบ - 8.1
การดำเนินเรื่อง - 5.5
งานภาพ - 5.9
6.1
X-Men Dark Phoenix
เป็น X-เม็นภาคที่จะเป็นบทสรุปปิดท้าย ไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการ ทั้งยังมีเรื่องราวที่ชวนกังขา เรื่องของซูเปอร์ฮีโร่ที่มีจิตใจเปราะบางและเปลี่ยนแปลงง่ายดายจนเกินความเข้าใจ บทบางส่วนดูจงใจเกิน แต่มาดูดีที่ฉากแอ็กชั่นแม้ไม่แปลกใหม่ชวนว้าว แต่ทำได้สนุก ทั้งยังมีดนตรีประกอบชวนตื่นตาจาก Hans Zimmer ถือว่าหนังพอเพลินใช้ได้ ไม่ย่ำแย่อย่างที่มะเขือเน่าบอก