จักรวาลของซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวลถือเป็นจักรวาลที่ซับซ้อนมากที่สุดในโลก แต่เมื่อทาง Twentieth Century Fox ที่สร้างหนังที่เล่าเรื่องราวของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์อย่าง X-Men มาหลายต่อหลายภาค (ทั้งไตรภาคแรก ภาคแยกของบางตัวละคร แล้วก็มารีบูทสร้างภาคใหม่) มันทำให้เหล่าเอ็กซ์เม็นมีรายละเอียดยิบย่อยมากมายจนจำกันไม่หวาดไม่ไหว มีตัวละครตัวเล็กตัวน้อยที่ผลัดกันออกมาโผล่หน้าโผล่ตาและวาดลวดลายตามความพิเศษของตัวเอง จนในที่สุด ฟ็อกซ์ก็ใช้โอกาสนี้จัดระเบียบของจักรวาลนี้เสียใหม่ใน ‘X-Men: Days of Future Past’ (2014)
ในที่สุด เหมือนว่าเรื่องราวจะต้องกลับไปเริ่มใหม่ด้วยเรื่องราวใหม่ๆ จากตัวละครเดิมๆ ที่วนเวียนกลับมาที่จุดเริ่มใหม่จากอะไรที่เคยทิ้งไว้ในภาคก่อน แต่มันคงจะน่าสนใจขึ้นมากหากเรียกเอาตัววายร้ายกลายพันธุ์ที่โด่งดังและมีพลังมากที่สุดมาร่วมสร้างเรื่องราว งานนี้จึงได้ภาคใหม่ภาคที่สองของไตรภาคล่าสุด ที่มีชื่อว่า ‘X-Men Apocalypse’
ด้วยเพราะภาคนี้มีตัวร้ายชื่อ ‘Apocalypse’ นั่นเอง
เรื่องย่อหนัง ‘X-Men Apocalypse’
เหตุการณ์มันเกิดหลังจากภาคที่แล้วราว 10 ปี การเข้าแทรกแซงเหตุการณ์ในอดีตส่งผลถึงอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไป แมกนีโต (Michael Fassbender) หลบลี้ไปมีครอบครัวมีอาชีพดำรงตนเป็นเหมือนคนธรรมดา แต่ก็ไม่วาย
ชาร์ลส์ เซเวียร์ (James McAvoy) ผู้เชื่อในความหวัง เขาจัดตั้งโรงเรียนสอนเด็กผู้มีพลังพิเศษให้รู้จักควบคุมพลังและอยู่ร่วมกับมนุษย์บนโลกใบนี้ แต่ไม่มีใครรู้ โลกนี้เคยมีซูเปอร์ฮีโร่ที่ถือกำเนิดขึ้นมาคนแรกของโลก มีพลังพิเศษมากที่สุดในโลก แถมยังมีลูกสมุนข้างกายถึง 4 คนที่คอยช่วยเหลืออารักขาอยู่ ฮีโร่ผู้นั้นถูกขนานนามว่า ‘Apocalypse’ แต่จริงๆ เขาชื่อ En Sabah Nur (Oscar Isaac) ด้วยพลานุภาพอันสูงยิ่ง ส่งผลให้เขากลายเป็นพระเจ้าในสายตาชายอียิปต์โบราณ
ทว่าเขากลับหายไปเป็นพันปีก่อนจะโผล่มาอีกครั้ง!
กลับออกมาเจอโลกยุคใหม่ที่ทุกคนลืมเลือนเขาไปแล้ว และเมื่อซูเปอร์ฮีโร่ผู้หลงผิด คิดใช้พลังที่มีไปเพื่อการทำลายล้างโลก มันเป็นตัวเร่งชั้นดีที่จะทำให้เหล่า X-Men ชุดเดิมกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พร้อมกับการเติบโตขึ้นของวัยรุ่นผู้มีพลังที่จะได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทเทียบชั้นรุ่นพี่
โดยเกือบทุกตัว เราเคยคุ้นกันแล้วในไตรภาคเก่านั้นแหละ
รีวิวหนัง ‘X-เม็น อะพอคคาลิปส์’
คงเป็นหนังชุดที่ต้องทำการบ้านกันมาก่อนพอสมควรทีเดียว แต่ข้อมูลยาวเป็นหางว่าว ทำการบ้านไม่ทันเหมือนกัน ภาคนี้จะมีเรื่องราวบางส่วนที่หยิบยกมาจากภาคที่แล้วอยู่ประมาณนึง ฉะนั้น ก่อนจะมาดูภาคนี้ หากทำการบ้านแบบรวบรัดด้วยการดูภาค ‘X-Men: Days of Future Past’ (2014) มาก่อนก็น่าจะเป็นการดี
เดินเรื่องโทนเดียว พยายามจุดอารมณ์แต่ไม่ติด
สำหรับแฟนคอมิกและแฟนพันธุ์แท้ของเอ็กซ์เม็น ภาคนี้อาจจะทำให้พวกเขามีความสุขที่ได้เห็นช่วงเวลาก่อนจะกลายเป็นกองกำลังชำนาญการ แต่สำหรับบุคคลกลุ่มอื่น อาจจะไม่ถึงกับปลื้มอะไรกับภาคนี้มากนัก
แม้จะไม่ได้รู้สึกว่ามันเลวร้ายเฉกเช่นหนังซูเปอร์ฮีโร่บางเรื่องก็ตาม
ในช่วงครึ่งค่อนแรกของหนังนั้น เขาได้ให้เวลาไปกับการปูเรื่องเพื่อขมวดเข้าสู่องก์สุดท้ายที่จะตื่นตาที่สุดนั้น เหมือนกำลังเก็บเล็กผสมน้อยจากเศษชิ้นส่วนต่างๆ ของมนุษย์กลายพันธุ์ให้กลับมารวมเป็นชิ้นเป็นอันเพื่อให้มีแรงพลังมากพอจะต่อกรกับวายร้ายที่แข็งแกร่งสุด (ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ได้เท่าไหร่นะ) หนังเดินเรื่องไม่ถึงกับเรียบเรื่อยน่าเบื่อ แต่หนังมีอยู่อารมณ์เดียว เหมือนเล่นดนตรีอยู่แนวเดียว ไม่มีขึ้นมีลง
นั่นคือมันมีความเป็น “เส้นเดียว” อยู่มากเกินไป
หากดูเป็นคนๆ เหล่านักแสดงทั้งหลายในภาคนี้ถือว่าแคสต์มาปังสุด
จีน เกรย์ (Sophie Turner จาก ‘Game of Thrones’) ยังคงเป็นเด็กที่ไม่รู้จะควบคุมพลังของตนเช่นไร แต่เธอเห็นหายนะของโลกที่เกิดจากมิวแทนต์ผู้ทรงพลังที่สุดในโลก สก็อตต์ ซัมเมอร์ (Tye Sheridan) แสดงให้เราเห็นถึงกำเนิดของพลังและเราได้ทำความรู้จักเขาตั้งแต่เขายังควบคุมมันไม่เป็น หนังยังเปิดให้เห็นบางส่วนเสี้ยวในชีวิตของ ควิกซิลเวอร์ (Evan Peters) มิวแทนต์ที่เคลื่อนกายได้ไวสุด และเขามีฉากโดดเด่นของตัวเองอีกครั้งทว่าไม่ปังเท่าเก่า แถมยังทำให้ผมได้หัวเราะเพียงแค่หึๆ เท่านั้น
คนที่จะพิเศษโดดเด่นหน่อย เธอไม่ใช่เรเว่น/มิวทีค (Jennifer Lawrence) เธอไม่ใช่สตอร์ม (Alexandra Shipp) แต่เธอคือตัวไซล็อค (Olivia Munn) แม้จะงงๆ อยู่บ้างที่เธอถูกเลือก แต่ด้วยความสวยและเท่ยามใช้ดาบฟาดฟัน ทำให้เธอกลายเป็นอีกคนที่โดดเด่น
‘X-เม็น อะพอคคาลิปส์’ ยังคงธีมพูดถึงความดีในตัวตน
บางครั้ง มันคงนอนหลับใหลอยู่ หรือบางครั้ง มันอาจถูกบดบังด้วยความมืดดำบางอย่างที่ถูกผู้แข็งแกร่งแต่เลวนำมันมาใช้ การเชื่อในตัวคนอื่นนับเป็นคุณสมบัติชั้นดีที่คนอย่าง ศาสตราจารย์เซเวียร์มีอยู่มากกว่าคนอื่น มิฉะนั้น เขาคงไม่อุทิศตนสั่งสอนเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์วัยเยาว์ มิฉะนั้น เขาคงไม่เชื่อและไม่หวังในบุคคลที่เขารู้จักอย่างดีที่สุด
จนบางทีก็นั่งตั้งคำถามตัวเองว่า คนบางคนที่เราสูญเสียไป จริงๆ แล้วมันยังกลับมาได้หรือเปล่า เรายังมองเห็นด้านดีๆ ในตัวพวกเขาอยู่ไหม
องก์สุดท้ายของ ‘X-เม็น อะพอคคาลิปส์’ ถือว่าทำได้ตื่นตามากที่สุดหลังรอคอยกันมาอย่างอดทนเกือบ 1 ชั่วโมง ด้วยซีจีอลังการดาวล้านดวง แม้ว่าบางช่วงจะดูหลอกตาอยู่บ้าง แต่มันคือช่วงที่พีคสุดของหนัง แถมคุณจะได้เห็นฉากที่คุณยังไม่เคยได้เห็นจากภาคไหน เป็นฉากที่แฟนตัวจริงน่าจะชื่นชอบมากที่สุดอีกด้วย
และอย่าลืมฉากแถมท้าย End Credit รอนานนิดนึง
ชื่อภาพยนตร์: X-Men: Apocalypse / X-เม็น อะพอคคาลิปส์
ผู้กำกับภาพยนตร์: Bryan Singer
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Simon Kinberg (screenplay), Bryan Singer (story)
นักแสดงนำ: James McAvoy, Michael Fassbender, Jennifer Lawrence, Nicholas Hoult, Oscar Isaac, Rose Byrne, Evan Peters, Josh Helman, Sophie Turner, Tye Sheridan, Lucas Till
ความยาว: 144 นาที
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Fantasy, Sci-Fi
อัตราส่วนภาพ: 2.35 : 1
เรท: ไทย/ท, MPAA/G
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 19 พฤษภาคม 2559
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Twentieth Century Fox Film Corporation, Marvel Entertainment, TSG Entertainment
X-เม็น อะพอคคาลิปส์
X-Men: Apocalypse - 6.2
6.2
X-Men: Apocalypse
ในช่วงครึ่งค่อนแรกของหนังนั้น เขาได้ให้เวลาไปกับการปูเรื่องเพื่อขมวดเข้าสู่องก์สุดท้ายที่จะตื่นตาที่สุดนั้น เหมือนกำลังเก็บเล็กผสมน้อยจากเศษชิ้นส่วนต่างๆ ของมนุษย์กลายพันธุ์ให้กลับมารวมเป็นชิ้นเป็นอันเพื่อให้มีแรงพลังมากพอจะต่อกรกับวายร้ายที่แข็งแกร่งสุด (ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ได้เท่าไหร่นะ) หนังเดินเรื่องไม่ถึงกับเรียบเรื่อยน่าเบื่อ แต่หนังมีอยู่อารมณ์เดียว เหมือนเล่นดนตรีอยู่แนวเดียว ไม่มีขึ้นมีลง นั่นคือมันมีความเป็น "เส้นเดียว" อยู่มากเกินไป