การนำมหากาพย์พิภพวานรที่ถูกนำมารีบูตใหม่ (อีกครั้ง) แต่ถ้าจะนับรวมทั้งหมด นี่ก็คือภาคที่เก้าแล้วที่มีการสร้างขึ้น หลังจากสองภาคก่อนสร้างกระแสความชื่นชมไว้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคที่สอง ‘War for the Planet of the Apes’ จึงมาเพื่อตอกย้ำความเป็นหนังไตรภาคที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่ฮอลลีวูดเคยมีมา
ชื่อไทยของภาคนี้มันคือ ‘มหาสงครามพิภพวานร’ ภาคนี้ยังคงเป็น Matt Reeves ที่เป็นผู้กำกับต่อเนื่องมาจากภาคที่สอง สานต่อความยอดเยี่ยมทั้งทางด้านบทและเทคนิคพิเศษ
ที่แฟนหนังวานรน่าจะเห็นเป็นไปในทางเดียวกัน
เรื่องย่อหนัง ‘War for the Planet of the Apes’
ภาคที่สามของแฟรนไชส์เรื่องดัง เล่าเรื่องของซีซาร์ (Andy Serkis) และฝูงวานรหลังจากหลุดพ้นจากสงครามย่อยๆ ในภาคก่อนมาได้ ภารกิจของเขาก็คือการพาฝูงหลบหนีจากภัยสงครามไปหาที่สงบๆ ที่ใหม่
ทว่าในระหว่างทาง พวกเขาต้องพบกับปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มมนุษย์ที่นำโดยผู้พันผู้โหดเหี้ยม การปะทะกันยิ่งทำให้สูญเสียกำลังวานร แต่พวกเขาต้องรีบเร่งย้ายถิ่นฐาน
เพราะทราบมาว่ากำลังทหารมนุษย์จากทางเหนือกำลังตามลงมาสมทบ
แต่มันไม่ใช่แค่นั้น เมื่อพวกเขาต้องพบกับความสูญเสียที่แสนเจ็บปวด ซีซาร์จึงเริ่มต้นการเดินทางแห่งตำนานเพื่อล้างแค้นให้กับเผ่าพันธุ์ ก่อนที่ในที่สุด ซีซาร์และผู้พันคนนั้นต้องมาเผชิญหน้ากันในการต่อสู้ครั้งใหญ่
ที่จะกำหนดชะตากรรมสายพันธุ์ของพวกเขาและอนาคตของโลก
รีวิวหนัง ‘War for the Planet of the Apes’
ถ้าถามจำเป็นต้องดูสองภาคก่อนหน้ามาก่อนไหม คำตอบที่ได้จากผม คือ มันมีความจำเป็นมากพอสมควรครับ แม้ว่าหนังจะมีตัวอักษรบอกเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ในสองภาคก่อนตอนหนังเริ่มต้นแล้วก็ตาม ทว่า การไม่ได้ดูมาก่อนก็อาจจะไม่อินเท่าและไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้เท่าคนที่ได้ดูมาเท่านั้นเอง
เล่าถึงแง่งามและความหดหู่ในก้นบึ้งจิตใจ
หลายคนที่เข้าไปดูอาจจะคาดหวังความยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างของฉากสงคราม แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนว่า หนังไม่ได้ต้องการจะโชว์อะไรแบบนั้น ฉากสงครามน่ะมี แต่ไม่ได้มากมายและยิ่งใหญ่อย่างหนังที่จั่วหัวว่าเป็นหนังสงครามทั่วไป
นี่คือหนังที่นำเสนอแง่มุมหลากหลายเกี่ยวกับก้นบึ้งของมนุษย์ ความแค้น และการฆ่าฟันกัน
บางส่วนของหนังนำเสนอถึง สัญลักษณ์บางอย่างที่ดูงดงามดั่งดอกไม้หนึ่งเดียวในยามที่โลกเต็มไปกลิ่นเลือดและควันระเบิด “โนวา” คือสาวน้อยคนนั้น Amiah Miller เป็นเด็กที่ดูน่ารักไร้เดียงสา เหมือนดอกไม้ที่แค่นั่งมองก็มีความสุข ฉากที่ทรงพลังยิ่งฉากนั้น พาหัวใจที่อ่อนไหวถึงขั้นอ่อนยวบได้ทันตา
ขณะเดียวกัน หนังก็บอกเล่าเรื่องราวของกองกำลังทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะทั้งวานรและมนุษย์ เหตุผลของการรบราฆ่าฟัน เหตุผลของความสูญเสีย เหตุผลของความโกรธแค้น เหตุผลของเสรีภาพ การเสียสละ ทำเพื่อพวกพ้อง ทำเพื่อตัวเอง หรือทำเพื่อโลกใบนี้ หลายแง่มุมน่าหดหู่เพราะมันดูเหมือนเราจะหลีกเลี่ยงความรุนแรงไม่ได้เลย
แม้ว่าในส่วนลึกนั้น เราจะไม่ได้ต้องการมันสักเพียงไหนก็ตาม
สองเผ่าพันธุ์ที่เกี่ยวพันกันอย่างดิ้นไม่หลุด
ความเป็นจริง มนุษย์และวานรมีความเกี่ยวพันกันอย่างค่อนข้างมาก ถ้าติดตามมาแต่ต้นก็จะพบว่า เพราะการคิดค้นไวรัสเพื่อแก้ไขปัญหาโรคอัลไซเมอร์ในมนุษย์ที่ต้องไปทดลองในสัตว์กลุ่มวานร แต่ผลข้างเคียงของมันกลับทำให้วานรฉลาดขึ้น และผลเสียของมันคือทำให้มนุษย์ติดเชื้อและเสียชีวิตกันเกือบหมดโลก
เหลือไว้เพียงมนุษย์ที่มียีนคุ้มกันได้เท่านั้น
มนุษย์กลายเป็นส่วนน้อย และวานรฉลาดรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ มีกายภาพทุกอย่างที่เหนือกว่ามนุษย์ แต่ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ก็ไม่ต่าง ความรุนแรงและการฆ่าฟันเกิดขึ้นได้ทั้งสองฝั่ง ซึ่งมันก็ส่งผลมาถึงภาคนี้ด้วย
แต่ภาคนี้นอกจากจะเล่าว่าวานรก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์แล้ว ก็ยังเล่าไปได้อีกในหลายแง่มุม เมื่อเรานั่งคิดไปได้ว่า วานรฉลาดขึ้นก็เพราะมนุษย์ แต่เผ่าพันธุ์ของผู้สร้างกำลังจะสูญสิ้น เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเขาต้องทำสงคราม
วานรที่ฉลาดขึ้นนี่ก็เปรียบเหมือนกระจกสะท้อนมนุษย์เราดีๆ นี่แหละ เราต่างมีกิเลสในตัวเอง มีโมหะ มีโทสะแทบทั้งนั้น ขณะเดียวกัน เราก็มีความเห็นอกเห็นใจ ความรู้สึกผิด และการเอาตัวรอดอยู่ในตัวกันทั้งนั้น ทั้งหมดนี้หลอมรวมให้เรากลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งด้านและด้านร้าย
สงครามก็คือด้านหนึ่งของสัตว์ประเสริฐเยี่ยงเรา
ซีจีดีงาม ดนตรีประกอบตรึงใจ
ด้วยวิธีการถ่ายทำแบบโมชั่นแคปเจอร์ในตัวละครสำคัญที่ต้องแสดงสีหน้าท่าทางให้เหมือนเป็นวานรจริงๆ ต้องชื่นชมนักแสดงทั้ง Andy Serkis ที่เล่นเป็นซีซาร์ และอีกหลายต่อหลายคนที่ทำให้ภาคนี้อุดมไปเทคนิคพิเศษด้านภาพแทบทั้งเรื่อง แนบเนียนเหมือนจริงสุดๆ ทำให้เราสามารถอินไปกับตัวละครที่เป็นวานรได้อย่างไม่เคอะเขิน ไม่ทันจะรู้ตัว หนังกำลังจะจบ
เพิ่งมาคิดได้ว่านี่เราอินกับตัวละครวานรได้ขนาดนี้ได้เลยเหรอ
โดยเฉพาะการมีตัวละครใหม่ Bad Ape (Steve Zahn) เข้ามา ซึ่งเป็นตัวละครที่สร้างความฮาให้กับผู้ชมและหนังได้อย่างมาก ทำให้โทนหนังที่ดูจริงจังไม่เคร่งเครียดจนเกินไปนัก
ถ้าพูดถึงดนตรีประกอบ ผลงานของ Michael Giacchino ในเรื่องนี้ดูส่งเสริมให้หนังดูตื่นตาและยิ่งใหญ่ เร่งเร้าให้คนดูรู้สึกระทึกตามไปด้วยเสมอ และในบางช่วงเวลาที่หนังเสนอแง่งามของความสัมพันธ์ภายในและระหว่างสองเผ่าพันธุ์ ดนตรีประกอบก็ใสปิ๊งยิ่งกว่าแก้ว
ดนตรีประกอบในหนังจึงถือว่าเด่นไม่แพ้เทคนิคพิเศษแต่อย่างใด
ถ้าให้เปรียบเทียบความชอบในหนังทั้งสามภาค ผมชมชอบใน ‘Dawn of the Planet of the Apes’ (ภาคสอง) มากที่สุด ภาคนั้นอินมาก น้ำตาไหลเลย ซึ่งทำให้ภาคสามอยู่ในอันดับสอง ส่วนภาคแรกอย่าง ‘Rise of the Planet of the Apes’ รั้งท้าย
ลองไปดูกันนะครับ แล้วลองเปรียบเทียบดูว่าจะเหมือนผมไหม
ชื่อภาพยนตร์: War for the Planet of the Apes / มหาสงครามพิภพวานร
ผู้กำกับภาพยนตร์: Matt Reeves
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Mark Bomback, Matt Reeves
นักแสดงนำ: Andy Serkis, Woody Harrelson, Steve Zahn, Karin Konoval, Amiah Miller, Terry Notary, Judy Greer
ดนตรีประกอบ: Michael Giacchino
ความยาว: 140 นาที
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Drama, Sci-Fi, Thriller
อัตราส่วนภาพ: 2.35 : 1
เรท: ไทย/ท, MPAA/PG-13
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 13 กรกฎาคม 2560
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Chernin Entertainment, 20th Century Fox
มหาสงครามพิภพวานร
War for the Planet of the Apes - 9
9
War for the Planet of the Apes
ด้วยวิธีการถ่ายทำแบบโมชั่นแคปเจอร์ในตัวละครสำคัญที่ต้องแสดงสีหน้าท่าทางให้เหมือนเป็นวานรจริงๆ ต้องชื่นชมนักแสดงทั้ง Andy Serkis ที่เล่นเป็นซีซาร์ และอีกหลายต่อหลายคนที่ทำให้ภาคนี้อุดมไปเทคนิคพิเศษด้านภาพแทบทั้งเรื่อง แนบเนียนเหมือนจริงสุดๆ ทำให้เราสามารถอินไปกับตัวละครที่เป็นวานรได้อย่างไม่เคอะเขิน ไม่ทันจะรู้ตัว หนังกำลังจะจบ เพิ่งมาคิดได้ว่านี่เราอินกับตัวละครวานรได้ขนาดนี้ได้เลยเหรอ