หลังโลกนี้มีหนังภาคแรกของวายร้ายที่กลายมาเป็นพระเอกในปี 2018 ผ่านมา 3 ปีเศษ โลกก็ได้รับรู้การกลับมาวาดลวดลายในโรงหนังอีกครั้งในภารกิจใหม่พร้อมวายร้ายของวายร้ายอีกที วันนี้ ก็ได้เวลามารับชม ‘Venom: Let There Be Carnage’ ชื่อไทย ‘เวน่อม ศึกอสูรแดงเดือด’ กันเสียทีแล้วล่ะ
ภาคแรกเป็นผลงานการกำกับของ Ruben Fleischer แต่ภาคนี้หน้าที่กุมบังเหียนทิศทางหนังเปลี่ยนมือมาเป็น Andy Serkis เจ้าพ่อโมชั่นแคปเจอร์ ด้วยการร่างเค้าโครงเรื่องจาก Tom Hardy ก่อนจะกลายเป็นบทหนังที่เขียนโดย Kelly Marcel (ผู้เขียนบท ‘Venom’ และ ‘Fifty Shades of Grey’) คนเดิมที่เคยเขียนบทในภาคแรก
ทั้งหมดกลายเป็นภาคใหม่ที่เข้าฉายต้นธันวาปีนี้
เรื่องย่อหนัง ‘Venom: Let There Be Carnage’
เอ็ดดี้ บร็อค (Tom Hardy จากหนัง ‘Inception’ และ ‘The Dark Knight Rises’) ชายหนุ่มอดีตนักข่าวนักเปิดโปงที่ทั้งตกงานและเสียแฟนในภาคที่แล้ว เขากลายเป็นมนุษย์ที่ใช้ชีวิตร่วมกับเอเลี่ยน เวน่อม คือเอเลี่ยนผู้ไม่ยอมรับให้ตัวเองถูกเรียกว่าเป็นปรสิต แต่มันมีทั้งความห้าวอยากออกกำลัง ทั้งมีความหิวอยู่ตลอดเวลา การใช้ชีวิตของคนพวกขี้แพ้อย่างเอ็ดดี้ทำให้มันรู้สึกอึดอัด แต่หารู้ไม่ว่า ศัตรูตัวใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
คลีตัส คาเซดี้ (Woody Harrelson จากหนัง ‘Kate’ และ ‘Zombieland: Double Tap’) ฆาตกรต่อเนื่องที่ถูกขังอยู่ในคุก คิดจะสารภาพความผิดแต่ต้องเป็นนักข่าวที่ชื่อเอ็ดดี้เท่านั้น ที่จริงเขามีเจตนาแอบแฝง เป็นแผนการที่เตรียมเอาไว้เพื่อจะแหกคุกออกไปเจอกับฟรานเชส (Naomie Harris จากหนัง ‘Spectre’ และ ‘Moonlight’) แฟนสาวกลายพันธุ์สุดรักสุดหวงที่อยู่ในสถานกักกันอีกที่หนึ่ง
ครั้งนี้เอ็ดดี้ยังคงวนเวียนอยู่กับแฟนเก่า แอนน์ (Michelle Williams) ที่เขาไม่อาจตัดใจ แม้เธอจะมีคนใหม่อย่างแดน (Reid Scott) ผู้แน่นเหนียว สองคนนี้จะได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ที่เวน่อมต้องรับมือกับวายร้ายหน้าใหม่ ‘คาร์เนจ’ ที่ก็ไม่ใช่ใคร เพราะมันคือคาเซดี้นั่นเอง
รีวิวหนัง ‘เวน่อม ศึกอสูรแดงเดือด’
ภาคนี้ วายร้ายจะเป็นคู่รัก คลีตัสและฟรานเชสที่พบกันในโรงเรียนดัดสันดาน ก่อนจะถูกพรากจากกันทำให้คลีตัสต้องดิ้นรนสุดขีดเพื่อจะได้กลับไปเจอกันอีกครั้ง โดยไอเดียของคลีตัสคือการลิ้มรสเลือดของเอ็ดดี้ผู้ที่รวมร่างอยู่กับเวน่อม เพื่อให้ตัวเองกลายร่างและมีพลังเอเลี่ยนที่ใช้แหกคุกออกไปได้นั่นเอง
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เขาเลือกจะออกอุบายให้เอ็ดดี้มาสัมภาษณ์ส่วนตัว
แต่ที่หนังไม่ได้บอกก็คือ ทำไมคลีตัสจึงรู้ว่าเวน่อมอยู่ในร่างของเอ็ดดี้ ก็ได้แต่เดาว่า คงได้อ่านหนังสือพิมพ์แล้วเจอข่าวเข้าเลยเกิดไอเดีย หรือไม่ก็คือ คลีตัสไม่รู้อะไรเลยแต่ก็ชวนเอ็ดดี้มาสนทนา แล้วจึงได้ลิ้มรสเลือดเข้าโดยบังเอิญจนกลายเป็นคาร์เนจ ถ้าอย่างนั้นแล้วจุดประสงค์จริง ๆ ของการดึงให้เอ็ดดี้มาหาครั้งนี้มันคืออะไร
‘คาร์เนจ’ คือลูกของเวน่อม เป็นเอเลี่ยนที่รวมร่างกับมนุษย์เช่นเดียวกับเวน่อมนี่แหละ แต่เกิดจากหยดเลือดที่เข้าไปอยู่ในร่างของคลีตัส แม้จะแค่นั้น แต่ก็ทำให้เขากลายร่างเป้นวายร้ายตัวสีแดงที่มีร่างสูงใหญ่กว่า มีพละกำลังและอาวุธที่ดูจะร้ายกาจกว่าเวน่อมเสียอีก
ภาคนี้ เหมือนความสัมพันธ์ของเอ็ดดี้ บร็อค กับ เวน่อม ดูจะแน่นแฟ้นมากขึ้นแฮะ เสียงของเวน่อมหลายหนก็ดูจะอ่อนโยนลง ทั้งยังคอยเตือนสติเอ็ดดี้อยู่หลายหน ฟังดูเหมือนจะอยู่ร่วมกันด้วยดีมากขึ้น แต่ก็นั่นแหละ สักพักก็งอนกัน ทะเลาะกัน ไม่หยุดหย่อน อารมณ์เหมือนผัวเมียตีกันว่างั้น
ช่วงนี้ บทพูดเลยอาจจะเยอะหน่อย แต่บางมุกก็ชวนขำชวนฮาได้ดีอยู่นะ
บางฉากที่ใส่เข้ามาก็ดูจะแหม่ง ๆ บางฉากดูเป็นการช่วยกันสืบเรื่องราว แต่เล่นเอางงว่า เวน่อมไปเอาความสามารถนี้มาจากไหน หรือฉากที่เวน่อมงอนหนีไปเที่ยวผับ เออ ก็ไปได้วุ้ย ในฐานะที่กาวมาตั้งแต่ภาคแรก ก็เลยปล่อย ๆ ไป มันคงเป็นแนวของเขาอะนะ
ระหว่างเอ็ดดี้กับเวน่อมจึงกลายเป็นหนังดราม่าของคู่รัก ทะเลาะกันไปเรื่อยเปื่อยจนรู้สึกว่ามันจะเยอะไปไหน ขณะที่เรื่องราวก็ดูจะไม่ได้ขยายไปถึงคนนอกแต่อย่างใด คนในเมืองที่พวกเขาอยู่ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไรที่มีวายร้ายมาอยู่ร่วมเมือง เวน่อมไม่ได้สนใจจะทำร้ายผู้คน แม้แต่คาร์เนจก็สนใจแค่เวน่อมเช่นกัน หนังจึงสนใจเล่าแต่เฉพาะเหตุที่เกิดขึ้นกับเหล่าตัวละครเท่านั้น
จะว่าไป ก็เหมือนหนังพยายามจำกัดวงความเสียหาย ทั้งจำกัดให้ไม่ต้องเล่นกับโลเกชันใหญ่ให้เปลืองงบ
ความดีทั้งหมดรวมไว้ให้กับความละเอียดลออในการสร้างซีจีทั้งตัวเวน่อมและคาร์เนจ รายละเอียดคมชัดเสียจนโดดเด่นยิ่งกว่าความลึกของตัวละคร พวกเขาทำทุกสิ่งไปราวกับอยู่ในโลกของการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ ไม่ต้องการความสมจริง ความหนักแน่น หรือบทที่พลิกผันเกินคาดเดา เอาจริงๆ ทำเป็นหนังแอนิเมชันมาให้ดูก็น่าจะได้ แถมยังอาจชวนให้เชื่อได้มากเสียยิ่งกว่า
ระหว่างดูไป ก็อาจสงสัยว่า ทำไมเวน่อมชอบจะยืนเท่ ๆ เลียนแบบซูเปอร์แมนบนยอดตึก ซึ่งมองอีกที เวน่อมอาจต้องการจะเลียนแบบหนังคิงคองก็เป็นได้
เรื่องราวไหลเรื่อยแบบไม่ต้องปวดหัว ดูสนุกได้ แถมเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน จนถึงขนาดบางช่วงเน้นการต่อบทสนทนากันมากเกินไปด้วยซ้ำ กระนั้น หลายคนก็ยังบอกว่าเดินเรื่องเร็ว ขนาดนี้หนังก็ยังมีความยาวเพียบ 97 นาที ไม่ต้องคิดเลยว่าถ้าตัดบทสนทนาพ่อแง่แม่งอนทิ้งไป จะเหลือสักกี่นาที แน่นอน คนที่ชอบสิ่งนี้ย่อมจะมองอีกแบบหนึ่ง
หนังเล่าถึงการอยู่แบบขาดกันไม่ได้ของเอ็ดดี้กับเวน่อม การทะเลาะกันของพวกเขาเปิดให้วายร้ายได้มีเวลาหายใจ แต่ก็กลับคิดการณ์ไม่ใหญ่พอ แถมเรื่องราวยังดำเนินไปแบบไม่ต่อเนื่องเท่าที่ควร ทุกอย่างขมวดมาถึงช่วงปิดท้ายฉากไคล์แมกซ์ ความสนุกที่สูงสุดของหนังคงเป็นช่วงเวลานี้ การปะทะกันระหว่างเวน่อมและคาร์เนจ โดยมีมนุษย์และมนุษย์กลายพันธุ์ร่วมอยู่ด้วย การต่อสู้ที่พาสนุกไปแบบไม่ต้องใช้สมอง
ไม่ต้องรีบลุกไปไหน หนังปิดท้ายด้วยฉากแถมที่หลายคนกรี๊ดกร๊าดซึ่งจะมากลางเครดิต
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | Venom: Let There Be Carnage / เวน่อม ศึกอสูรแดงเดือด |
ผู้กำกับ | Andy Serkis/แอนดี้ เซอร์คิส |
ผู้เขียนบท | Kelly Marcel (screenplay by), Tom Hardy (story by) |
นักแสดง | Tom Hardy, Woody Harrelson, Michelle Williams, Naomie Harris, Reid Scott, Stephen Graham, Peggy Lu |
แนว/ประเภท | Action, Adventure, Sci-Fi, Thriller |
เรท | PG-13 |
ความยาว | 97 นาที |
ปี | 2021 |
เข้าฉายในไทย | 1 ธันวาคม 2021 |
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย | Marvel Entertainment, Pascal Pictures, Sony Pictures Entertainment (SPE) |
เวน่อม ศึกอสูรแดงเดือด
บทและพล็อต - 5
การดำเนินเรื่อง - 6.2
การแสดง - 6
งานภาพและเทคนิคพิเศษ - 7.6
เพลงและดนตรีประกอบ - 6.6
6.3
Venom: Let There Be Carnage
หนังแอนตี้ฮีโร่ที่สร้างมาเป็นภาคที่สองแล้ว เรื่องราวเล่าต่อจากภาคแรกแทบจะทันที และใช้วายร้ายใหม่เป็นคู่รักที่หยิบยืมพลังของเวน่อมไปสร้างเป็นคาร์เนจ เรื่องราวที่เดินแบบไม่ค่อยต่อเนื่องเท่าไร ทุกอย่างเหมือนมีที่มาที่ไปแต่ก็ใส่กาวไว้เยอะ แต่ก็จะหลวมๆ หน่อย เป็นหนังแอนตี้ฮีโร่ที่ไม่เน้นทำลายบ้านเมือง เน้นตีกันเอง เน้นใช้ความพ่อแง่แม่งอนของเวน่อมและเอ็ดดี้เป็นหลัก แต่ก็เป็นหนังที่ดูง่าย ดูให้สนุกก็ง่ายเช่นกัน