รีวิวหนัง Underworld: Blood Wars | ภาคห้า มหาสงครามล้างพันธุ์อสูร

สร้างต่อกันมายืดยาวถึงภาคที่ห้ากันแล้ว สำหรับแฟรนไชส์ Underworld

ห่างจากภาคที่แล้ว ‘Underworld: Awakening’ ไปถึงเกือบสี่ปี ก็ได้เวลากลับมาสานต่อสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์อมตะอย่างเหล่าแวมไพร์และมนุษย์หมาป่าที่ถูกเรียกกันว่า ไลแค่น กันอีกครั้ง ทั้งแวมไพร์และไลแค่นต่างก็เป็นอสูรที่ถือกำเนิดบนโลกนี้มานาน และซุกซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางสังคมมนุษย์ มีความเป็นกึ่งอมตะ ดำรงชีวิตอยู่ได้นาน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อน เพียงแต่จุดอ่อนจะต่างกัน ‘Underworld: Blood Wars’ ภาคที่ห้าของมหากาพย์สงครามที่ยังไม่จบสิ้นเสียที

ภาพจากหนัง ‘มหาสงครามล้างพันธุ์อสูร’

ผ่านไปสี่ภาค ดูจะยังไม่หนำใจและยังมีอะไรให้หยิบมาเล่าและสร้างเป็นหนังยาวได้เรื่อยๆ ‘Underworld’ เป็นหนังที่เน้นหนักในการเดินเรื่องที่มีแต่ฉากกลางคืน ทั้งเรื่องมีแต่แวมไพร์ที่โดยแสงอาทิตย์แล้วจะตาย กับไลแค่นที่ต้องการแสงจันทร์

เรื่องราวอันสุดแสนจะแฟนตาซีบ้าเลือดถูกสานต่ออีกครั้งแล้ว…


เรื่องย่อหนัง ‘Underworld: Blood Wars’

สงครามยังไม่จบไม่สิ้น ในภาคนี้ ดูท่าเหล่าไลแค่นจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม เมื่อมีผู้นำคนใหม่อย่าง แมเรียส (Tobias Menzies) ที่ก้าวขึ้นมาสร้างกองทัพเหล่ามนุษย์หมาป่าให้น่าเกรงขาม

เป็นครั้งแรกที่เหล่าแวมไพร์กริ่งเกรงว่าเผ่าพันธุ์ตัวเองสุ่มเสี่ยงจะถึงกาลอวสาน จนแวมไพร์ระดับผู้นำสาวอย่าง เซมีร่า (Lara Pulver) ยังต้องขอสภาให้นำแวมไพร์ทรยศอย่าง เซลีน (Kate Beckinsale) กลับเข้าเผ่าอีกครั้งเพื่อช่วยฝึกเหล่าพลพรรคนักรบให้กล้าแกร่งพอจะต่อกรกับกองทัพไลแค่นได้

ตัวอย่างหนัง ‘มหาสงครามล้างพันธุ์อสูร’

ในภาคนี้เซลีนต้องขึ้นเหนือไปเจอกับอากาศอันเหน็บหนาวเพื่อหาคำตอบให้กับบางสิ่งที่ค้างคาใจ ก่อนที่จะได้พบว่าการไปของเธอนำพาความเดือดร้อนให้ไปสู่ที่นั่นเสมอๆ

ภาคนี้ยังคงมีหนุ่มหล่อเข้มอย่าง Theo James ผู้สวมบทบาทเป็นเดวิด บุตรชายแห่งโทมัส (Charles Dance) ผู้นำแวมไพร์ที่อยู่มาตั้งแต่ภาคที่แล้ว เขากลายเป็นคนสนิทของเซลีน เป็นพันธมิตรเดียวที่เธอเหลืออยู่

และเซลีนก็ไม่เคยบอกใครว่าลูกอีฟของเธออยู่แห่งหนตำบลใด


รีวิวหนัง ‘Underworld: Blood Wars’

หลังจากให้เวลากับตัวเองหนึ่งคืนกับการทบทวนความจำเรื่อง ‘Underworld’ ในทุกภาคที่ผ่าน ก็ทำให้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในภาคห้าได้ดีพอควร จนคิดว่า นี่ถ้าเราไม่ได้ทบทวนมากวน เราคงจะจดจำได้แค่เซลีนมีลูกกับชายต่างเผ่าพันธุ์ได้แค่นั้น ส่วนวิคเตอร์ มาร์คัส และอมิเลียคือใครคงจะมึนไปสักพัก ทำให้ต้องยอมรับว่าถ้าศึกษาภาคเก่าหรือจำเรื่องราวต่างๆ ได้ก่อนจะมาดู ‘มหาสงครามล้างพันธุ์อสูร’ ก็น่าจะเป็นการดี

สานต่อมหากาพย์สงครามล้างพันธุ์อสูร

การดูหนังภาคต่อแบบสี่ภาครวดจะยิ่งทำให้เห็นว่า คนคิดบทคนสร้างเรื่อง เขาก็ดูจะครีเอทดีในการสร้างเรื่องที่เคยพูดถึงเพียงผ่านๆ ในภาคแรก จับมาขยายต่อเป็นฉากๆ ในภาคถัดมาโดยพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้มันไปกันได้และไม่กระทบกระเทือนสิ่งที่เคยเล่าไว้ในภาคก่อน

เมื่อผ่านมาถึงภาคที่ห้า แน่นอนว่ามันย่อมเขียนเรื่องราวได้ยากขึ้น  

Kate Beckinsale ในหนัง ‘มหาสงครามล้างพันธุ์อสูร’

ภาคที่แล้วนั้น เหล่าไลแค่นดูอ่อนเปลี้ยเสียเหลือเกิน มาภาคนี้พวกเขากล้าแกร่งขึ้นมากถึงขนาดที่แวมไพร์ยังขยาดไปเลย ภาคที่แล้ว เราได้พบว่าเซลีนเธอได้รับขุมพลังที่ทำให้เธอกร้าวแกร่งขึ้นมาก ในภาคนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น

ลักษณะของการดำเนินเรื่องยังคงเป็นเช่นเดิม คือ เน้นหนังภาคโทนมืด เน้นฉากกลางคืน แม้แต่ฉากกลางวันก็เลือกสถานที่ที่มีแสงน้อยมาก แสงแดดเป็นแค่ตัวประกอบที่มาเพียงไม่กี่ฉากเท่านั้น อีกส่วนที่ยังเหมือนเดิม ก็คือ ลูกเล่นของการกัดเพื่อเห็นภาพนิมิต มันเป็นภาพจริงที่น่าเชื่อถือกว่าการฟังอีกฝ่ายพูดมากมายนัก

และเราจะเห็นภาพนิมิตนั้นบ่อยครั้งกว่าที่เคยอีกด้วย

เคท เบคคินเซล ยังคงแซ่บเหมือนเดิม

แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด จากภาคแรกในปี 2003 มาถึงภาคที่ห้าในปี 2016 แต่ Kate Beckinsale ก็ยังเป็นนางเอกที่หน้าตาและทรวดทรงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย จนแอบคิดว่า

นี่เคท เธอเป็นแวมไพร์รึเปล่า?

Kate Beckinsale และ Theo James ในหนัง มหาสงครามล้างพันธุ์อสูร’

ขณะที่ Theo James แม้จะดูหล่อเข้ม แต่ยังไม่ช่วยดึงดูดพอสักเท่าไหร่ กลายเป็นเคทเสียอีกที่แบกหนังเอาแทบจะคนเดียว จะมีแบ่งเบาก็อาจจะเป็น Lara Pulver ที่ความสวยของเธอช่วยให้คนดูหันมามองได้อยู่บ้าง

มืดหม่นไม่เร้า เอามันช่วงท้าย

น่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่ มหาสงครามล้างพันธุ์อสูร’ ดำเนินเรื่องอย่างไม่เร้าเท่าใดนัก เรื่องราวผ่านไปแม้ไม่น่าเบื่อแต่ก็ไม่ได้ชักชวนให้ตื่นเต้นอะไรมากนัก นอกไปเสียจากเรื่องราวที่พาให้เซอร์ไพรส์เมื่อมันถูกเฉลย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับตื่นตะลึงว่าพล็อตแบบนี้คิดได้ยังไงอะไรประมาณนี้

เทคนิคซีจีถือว่าสอบได้ผ่าน อาจมีขัดใจบ้างก็ตรงที่เน้นแต่ฉากมืดๆ ขนาดฉากของดินแดนทางเหนือที่พอจะสนุกลุ้นไปกับฉากบู๊ได้บ้าง ก็ยังดูมืดเกินไปอยู่ดี สิ่งหนึ่งที่หนังยังคงทำได้เหมือนเดิมคือความรุนแรงของภาพที่ยังจัดเลือดมาท่วมจอกันเช่นเคย

แต่สิ่งที่ภาคนี้อาจจะเล่นมากกว่าภาคอื่นอยู่บ้างก็คงจะเป็นเรื่องของดราม่าที่หยิบใส่แทรกเข้ามาในเรื่องตามสมควร

เดินเรื่องกันมาตั้งนาน เพิ่งจะรู้สึกตื่นเต้นและมันไปกับหนังก็เมื่อมันผ่านมาถึงช่วงท้ายของเรื่องแล้วนั่นเอง แถมหนังยังตัดจบไปแบบดื้อๆ

ชนิดที่รู้ได้เลยว่า มีภาคต่อแน่นอน…


ชื่อภาพยนตร์: Underworld: Blood Wars / มหาสงครามล้างพันธุ์อสูร
ผู้กำกับภาพยนตร์: Anna Foerster
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Cory Goodman (screenplay), Kyle Ward (story by)
นักแสดงนำ: Kate Beckinsale, Theo James, Lara Pulver, Charles Dance, Tobias Menzies, Alicia Vela-Bailey, Clementine Nicholson, Bradley James
แนว/ประเภท: Action, Horror
ความยาว: 91 นาที
อัตราส่วนภาพ: 2.35 : 1
เรท: ไทย/, USA/
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 8 ธันวาคม 2559
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย/สตูดิโอ: Lakeshore Entertainment, Screen Gems, Sketch Films

Exit mobile version