ผลงานหนังญี่ปุ่นหลายเรื่องเลยที่ได้รับรางวัลและคำชื่นชมมากมาย เรื่องราวในนั้นจริงจังและสะท้อนสังคมได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งบทและวิธีการเล่า อย่างเช่นหนังเรื่องนี้ ‘True Mothers’ ผลงานจากผู้กำกับ Naomi Kawase/นาโอมิ คาวาเสะ ที่ดัดแปลงจากนิยายขายดี เรื่องราวของสามีภรรยาที่เจอปัญหาไม่สามารถมีลูกได้ กับเด็กหญิงอีกคนที่ตั้งครรภ์แต่ไม่อาจเลี้ยงดู
ผลงานนี้ได้รับเลือกจากประเทศญี่ปุ่นให้เป็นตัวแทนเข้าชิงรางวัลออสการ์ ทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็น ภาพยนตร์ครอบครัวที่ดีที่สุดนับจาก ‘Shoplifters’ รวมไว้ซึ่งนักแสดงระดับแถวหน้าของญี่ปุ่น แถมยังมีเพลงประกอบสุดเพราะที่ชื่อ ‘Asa to Hikari’ ที่อบอวลตลอดช่วงเวลาของหนังอีกด้วย
ได้เวลาแล้วที่เราจะได้ไปพบกับภาพยนตร์ญี่ปุ่นว่าด้วยเรื่องครอบครัวความยาว 2 ชั่วโมง 20 นาทีเรื่องนี้
เรื่องย่อหนัง ‘True Mothers’
หนังญี่ปุ่นเรื่องนี้ว่าด้วย ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งที่มีความต้องการจะเติมเต็มครอบครัวให้สมบูรณ์ด้วยการมีลูกสักคน แต่ทั้ง ซาโตโกะ (Hiromi Nagasaku/ฮิโรมิ นางาซาคุ จากหนังเรื่อง ‘Rebirth’ และ ‘The Furthest End Awaits’) และ คิโยซาคุ (Arata Iura/อาราตะ อิอุระ จากหนังเรื่อง ‘After Life’, ‘Air Doll’ และ ‘The Chrysanthemum and the Guillotine’) ก็ดูเหมือนจะใช้ความพยายามมานานเกินไป ลองทุกทาง เสียเงิน เสียเวลาทุกอย่าง ก็เหมือนจะไม่เป็นผล จนเริ่มจะทดท้อ
แต่แล้ววันหนึ่ง พวกเขาก็ค้นพบหนทาง
เมื่อมีองค์กรหนึ่งที่จะช่วยเลือกพ่อแม่ที่ต้องการจะมีลูกแต่ไม่สามารถมีได้ มาอุปการะเด็กที่แม่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมหรือไม่มีสามารถเลี้ยงดูเด็กได้ สุดท้าย พวกเขาก็ได้ลูกชาย พวกเขาตั้งชื่อให้บุตรบุญธรรมว่า อาซาโตะ (Reo Sato)
แต่แล้วจู่ๆ ก็ได้รับการติดต่อจากผู้หญิงคนหนึ่ง (Aju Makita/อาจู มาคิตะ จากหนังเรื่อง ‘After the Storm’ และ ‘Shoplifters’) เมื่อนัดคุยกัน จึงได้รับรู้ว่า เธออ้างว่าเป็นแม่ของเด็กคนนั้น
รีวิวหนัง ‘True Mothers’
ภาพยนตร์ญี่ปุ่นแนวดราม่า ที่ดัดแปลงจากนิยายต้นฉบับของ Mizuki Tsujimura/มิซุกิ ซึจิมูระ นักเขียนผู้ที่มีผลงานขายดีที่สุด ผู้เคยได้รับรางวัล Naoki Prize และรางวัล Japan Bookseller’s Awards
เล่าละเอียดยิบ นำเสนอปัญหาครอบครัวในหลากหลายมุมมอง
ผู้กำกับเลือกจะเล่าไปทีละมุมมอง เริ่มแรกก็สนใส่ใจเล่าแต่ชีวิตคู่ของสองสามีภรรยาก่อน เล่าละเอียดทุกอย่างที่ทำให้เราซึมซับและเข้าใจในความทุกข์ระทมของคนที่ไม่อาจมีลูกได้แม้จะอยากมีมากเพียงใดก็ตาม จนเหตุการณ์ดำเนินไปถึงจุดที่พวกเขาได้พบทางออก ได้รู้จักกับองค์กรที่นำเด็กทารกของหญิงสาวที่ไม่อาจเลี้ยงดู ให้มาอยู่ในอ้อมกอดของพ่อแม่คนใหม่ ในฐานะบุตรบุญธรรม
จากนั้นก็หันไปเล่าเรื่องของเด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่มีความรักในวัยเรียนและตั้งท้อง ก่อนเธอจะได้พบกับองค์กรนี้และส่งต่อทารกให้กับพ่อแม่คนใหม่ จากนั้น หนังก็เดินต่อ เล่าเรื่องอย่างมีชั้นเชิงเพื่อจะไปชนกับบางฉากที่เล่าทิ้งเอาไว้
ผู้กำกับเลือกเล่าเรื่องอย่างละเอียด ไม่รีบร้อน จนเหมือนพาเราไปสำรวจความรู้สึกลึกๆ ภายในใจของตัวละคร ขณะเดียวกัน เราก็ได้สำรวจความคิดภายในใจเราเอง ภายในหนัง ยังใส่มุมมองรอบด้าน ไม่ตัดสิน ไม่ชี้นำ ว่าใครคือผู้ผิดหรือถูก
หลายส่วนก็ทำให้เราได้มองเห็นถึงความยุ่งยากของการเป็นผู้หญิง ธรรมชาติสร้างให้เพศชายใช้เพียงน้ำเชื้อ แต่เลือกให้เพศหญิงคือผู้ตั้งครรภ์ หนังไถ่ถามความเป็นแม่เอากับคนดู ว่ามันจะมาจากความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข การฟูมฟักทะนุถนอมอยู่ในท้องมาตั้ง 9 เดือน หรือการเลี้ยงดูเขาให้เติบโต คนไหนสมควรจะได้รับคำว่า ‘แม่’ ไป
อีกทั้งหนังยังเล่าถึงปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยเรียน ท้องในวัยที่ไม่พร้อม ซึ่งอาจเกิดจากความไร้เดียงสา ความรู้เรื่องเพศน้อย ประสบการณ์ด้านการรับมือกับเพศตรงข้ามน้อย ขาดการป้องกันที่ดีพอ หรืออะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายมันกลายมาเป็นปัญหาของสังคม อีกด้านที่กลายเป็นปัญหา เมื่อเด็กตั้งครรภ์ในวัยนี้ กลับเป็นพ่อแม่ของเด็กเสียอีกที่ไม่ยอมรับ ไม่ทำความเข้าใจ ทั้งไม่ยอมอยู่ข้างๆ เด็ก เรื่องราวที่เป็นปัญหาอยู่แล้วก็ยิ่งจะเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้น เพราะเด็กที่ตั้งครรภ์ ประสบการณ์เหล่านั้นจะยังคงอยู่กับเขาต่อไป ไม่ว่าเขาจะเลือกเลี้ยงดูลูก (แต่ก็ต้องออกจากการเรียน) หรือเลือกจะส่งต่อให้คนอื่นเลี้ยงดู หรือแม้กระทั่งทำแท้งก็ตาม
เรื่องราวที่ไม่ชี้แนะไม่ชี้นำ ด้วยการดำเนินเรื่องที่เรียบเรื่อย ผู้ชมจึงได้แต่เดินตามเรื่องราว แถมยังเว้นวรรคสร้างช่องว่างให้คิดตามอีกด้วย
มีภาพของธรรมชาติ ต้นไม้ ลม นก น้ำ แทรกตลอดเรื่อง
เอาจริงๆ หนังไม่ได้บีบเค้นหรือบีบคั้นให้ผู้ชมต้องหลั่งน้ำตา ตลอดเรื่องราว มันรู้สึกได้ถึงความอึดอัดคับข้องใจ นอกจากผู้กำกับและช่างภาพจะเลือกใช้วิธีการถ่ายแบบกึ่งแฮนด์เฮลด์และโคลสอัป ก็ยังกำกับให้นักแสดงสวมบทบาทแบบที่เหมือนไม่ได้แสดงให้มากที่สุด ชักชวนให้รู้สึก ‘เรียล’ เอามากๆ
เท่านั้นยังไม่พอ Naomi Kawase คนนี้ ยังเลือกจะแทรกภาพเคลื่อนไหวของธรรมชาติเข้ามาในทุกช่วงเวลา หลายครั้ง เราอาจจะสงสัยว่าภาพนี้เขาต้องการจะสื่ออะไร หรือเกี่ยวข้องยังไงกับเนื้อเรื่อง แต่ทว่า ภาพเหล่านั้นกลับส่งเสริมให้เราอินอยู่ในเรื่องราวความร้าวรานที่อบอุ่นไปพร้อมๆ กันได้อย่างประหลาด
บางส่วนก็เล่าในสไตล์สารคดี ลำดับเรื่องราวได้อย่างมีชั้นเชิง
ผมเองก็ยังไม่เคยได้เสพผลงานของผู้กำกับเลื่องชื่อของญี่ปุ่นคนนี้ แต่ผลงานนี้กลับชักชวนให้รู้สึกแปลกใหม่กับลีลาการเล่าของเธออยู่ไม่น้อย ด้วยเอกลักษณ์และองค์ประกอบของหนังที่มีความเฉพาะตัว ไม่ค่อยเห็นที่ไหนสักเท่าไหร่ กับการบอกเล่าเรื่องที่เกือบคล้ายสารคดีในบางช่วง จนอาจจะนึกไปว่า “นี่ผู้กำกับไปเก็บภาพและเรื่องราวจากคนจริงๆ มาใช่มั้ยนี่?” รู้สึกเชื่อได้ขนาดนั้นเลย อาจเป็นวิธีการกำกับที่ทำให้นักแสดงรู้สึกอินไปกับเรื่องราวจริง
และในเมื่อหนังไม่ได้บีบเค้นเรามากนัก แต่ในระหว่างทาง เราได้ทำความเข้าใจคนทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่อยากมีลูกแต่มีไม่ได้จึงรับลูกเขามาเลี้ยง กับอีกฝ่ายที่ท้องโดยไม่ตั้งใจสุดท้ายถูกครอบครัวกดดันให้ต้องส่งลูกให้คนอื่น หนังเรียบเรื่อยยืดยาวจนคิดว่ามันเกือบจะไม่ทำงานกับเราแล้ว แต่ในที่สุด เขาก็ติดต่อเรียงร้อยเรื่องจนมาขมวดเอาในช่วงสุดท้าย ใช้ชั้นเชิงในการเล่าเพื่อตอบทุกสิ่งที่บรรจงใส่เข้ามา สร้างสถานการณ์ที่สะเทือนใจ ทั้งเข้าใจและเห็นใจ ไม่ว่าจะฝั่งฝ่ายไหนเลย
ให้เวลากับหนัง ให้เวลากับเรื่องราว ซึมซับมัน หนังดีสมกับที่เป็นตัวแทนญี่ปุ่นชิงออสการ์จริงๆ
ชื่อภาพยนตร์: True Mothers / Asa ga Kuru
ผู้กำกับภาพยนตร์: Naomi Kawase
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Naomi Kawase, Izumi Takahashi
นักแสดง: Hiromi Nagasaku/ฮิโรมิ นางาซาคุ, Arata Iura/อาราตะ อิอุระ, Aju Makita/อาจู มาคิตะ, Reo Sato, Hiroko Nakajima, Tetsu Hirahara, Ren Komai, Taketo Tanaka, Miyoko Asada/มิโยโกะ อาซาดะ
ดนตรีประกอบ: Akira Kosemura, An Ton That
แนว/ประเภท: Drama
ความยาว: 140 นาที
ปี: 2020
ประเทศ: ญี่ปุ่น
อัตราส่วนภาพ: 1.85 : 1
เรท: ไทย/ , USA/
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 25 มีนาคม 2021
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย/สตูดิโอ: Kazumo, Kino Films, Kinoshita Group, Mongkol Major
Asa ga Kuru
พล็อตและบท - 8.7
การดำเนินเรื่อง - 8.3
การแสดง/พากย์ - 8.5
เพลง/ดนตรีประกอบ - 8.5
งานภาพ - 8.7
8.5
True Mothers
หนังญี่ปุ่นที่ได้รับโอกาสเป็นตัวแทนเข้าชิงออสการ์สาขาหนังต่างประเทศ เรื่องราวของครอบครัวที่อยากมีลูกแต่มีไม่ได้ กับเด็กสาวที่ท้องก่อนวัยและต้องให้ลูกตนไปกับคนอื่น หนังเล่าสลับมุมมอง ค่อยๆ เล่าเก็บรายละเอียดทีละฝั่ง สลับแทรกด้วยภาพธรรมชาติอย่างจงใจ ไม่บีบเค้น ไม่ฟูมฟาย สะท้อนปัญหาท้องไม่พร้อมในวัยรุ่น นึกว่าหนังจะไม่ทำงานกับเรา แต่ที่ไหนปิดท้าย ขมวดปม ได้ดีเยี่ยม สะเทือนใจมากมาย