ได้เวลาที่หลายคนรอคอยกับหนังภาคต่อที่สร้างกระแสและรายได้ถล่มทลายมาทุกภาค จน Michael Bay ไม่ยอมรามือไปง่าย สร้างต่อเป็นภาคที่ห้าในชื่อว่า ‘Transformers: The Last Knight’ ชื่อไทย ‘ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 5 อัศวินรุ่นสุดท้าย’ เรื่องราวที่ไปไกลถึงยุคคิงอาร์เธอร์
ดูเหมือนเบย์ยังไม่หนำใจเมื่อภาคที่แล้วกวาดไปถึงพันกว่าล้านเหรียญทั่วโลก ภาคนี้จึงกลับมาพร้อมจัดเต็มหุ่นหน้าใหม่เพียบ พร้อมยังเล่าไปถึงความลับที่โลกยังไม่รู้มาก่อน
แถมภาคนี้ยังมีไอเดีย “ผู้ถูกเลือก” เข้ามาอีกด้วย
เรื่องย่อหนัง ‘Transformers: The Last Knight’
ยังคงเล่าเรื่องของผู้ชายคนเดิม เคด เยเกอร์ (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) ที่กบดานและหลบหนีการถูกตามล่าตัวโดยกองกำลังกลุ่มใหม่ในนาม TRF ไม่ใช่แค่นั้น เพราะเขาก็ต้องปกป้องเหล่าพันธมิตรออโตบอตด้วยเช่นกัน
ภารกิจของเขาทำให้ได้รู้จักกับสาวน้อยอิซซี่ (Isabela Moner) ที่มีคู่ซี้เป็นเจ้าหุ่นตัวเปี๊ยก
แต่เหตุการณ์มันมิใช่แค่นั้น…
เมื่อโลกนี้ยังมีความลับที่กำลังจะถูกเปิดเผย ว่ามนุษย์โลกนั้นเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงใหม่ไปกับเหล่าทรานส์ฟอร์เมอร์ส อัศวินโต๊ะกลมที่เรารู้จักกัน ไม่ว่าจะเป็น คิงอาร์เธอร์ แลนสล็อต หรือแม้แต่พอมดเมอร์ลิน ต่างก็เคยร่วมประชุมและรบกับเหล่าอัศวินผู้กล้าจากดาวไซเบอร์ทรอนมาแล้วทั้งนั้น
ผู้กุมความลับของเรื่องราวทั้งหมดคือขุนนางอังกฤษผู้หนึ่งที่มีนามว่า เซอร์ เอ็ดมัน เบอร์ตัน (เซอร์ แอนโธนี ฮ็อปกินส์) และวิเวียน เวมบลีย์ ศาสตราจารย์จากอ็อกซ์ฟอร์ด (ลอร่า แฮดด็อก) ที่จะพาเราไปพบกับเบื้องหลังบางอย่างที่สงสัยกันมานาน
ทำไมพวกมันจึงสนใจใน “โลก” ยิ่งนัก
นอกจากนี้ เหล่าออโตบอตยังต้องเจออีกปัญหา เมื่อออปติมัส ไพรม์ ผู้นำของตนกลับเปลี่ยนข้างกลับมาทำร้ายพวกเดียวเสียเอง จึงเป็นอีกปัญหาที่ต้องปวดหัวกัน
รีวิวหนัง ‘Transformers: The Last Knight’
ต้องถือว่าหนังภาคนี้มีรายละเอียดเยอะมาก เยอะจนนึกมันออกมาไม่หมดถ้าไม่ได้นั่งคุยกะคนนั้นทีคนนี้ที มันอาจจะดูเป็นข้อดีที่ทำให้ได้ถกเถียง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อาจกลายเป็นข้อเสียที่ทำให้คนดูเจอกับปัญหาการเก็บข้อมูลทำให้งงกับเรื่องราวไปได้น่ะสิ
พล็อตเรื่องที่ขยายจักรวาลไปไกลได้อีก
อาจจะไม่ได้มีอะไรใหม่ออกไปมากมายนัก สิ่งที่ ‘อัศวินรุ่นสุดท้าย’ เป็น ก็คือการสร้างเรื่องราวเพื่อให้จักรวาลแห่งทรานส์ฟอร์เมอร์สได้ไปต่อ โดยการเพิ่มตัวละครใหม่ๆ เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นหุ่นที่มีทั้งตัวโบราณและตัวปัจจุบัน สร้างตัวละครเทพๆ ขึ้นมาสักตัวให้ตัวละครดั้งเดิมต้องดั้นด้นออกไปตามหา เปลี่ยนตัวละครที่คนคุ้นเคยให้กลายเป็นศัตรูเพื่อกลับมาทำลายโลก
แถมยังหยิบจับหนังเรื่องอื่นมายำรวมกันเป็นเรื่องเดียวได้อีก
ถ้าดูหนังภาคนี้ (หรือแม้แต่ภาคก่อนๆ) ก็อาจจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นหรือภาพที่เหมือนหนังเรื่องอื่นๆ ก็ไม่ต้องแปลกใจ คุณไม่ได้รู้สึกไปคนเดียวแต่อย่างใดครับ
พล็อตโดยรวมของหนังก็คือการตามหาสิ่งของเพื่อจุดประสงค์ที่แตกต่างกันของตัวละครสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งต้องการสร้างดาวของตัวเองขึ้นมาใหม่ด้วยการทำลายดาวอีกดวง ส่วนอีกกลุ่มคือความหวังเดียวที่จะหยุดยั้งการทำลายดาวของตนนั่นเอง
แต่ซับพล็อตก็มีผุดขึ้นมาอีกหลายอัน ทั้งการที่ตัวละครฝ่ายดีกลับกลายเป็นตัวร้าย หรือการเดินทางตามหา “ผู้สร้าง” การหยิบเอาเหตุการณ์ในตำนานมาเล่าใหม่ในหนังสงครามหุ่นยนต์ การตอบคำถามที่คาใจว่าเหตุใดชาวไซเบอร์ทรอนจึงสนใจและมายังโลกไม่หยุดหย่อน ซึ่งบางที เราอาจรู้สึกว่าหนังพยายามจะหาทางไปอย่างถูลู่ถูกังสุดขีด
ถ้าต้องการจะสนุกกับหนัง ก็อย่าไปสนใจเรื่องพล็อตเรื่องบทเลยเธอ
ตัวละครยุ่บยั่บ เล่าเรื่องชวนสับสน
ถ้าไล่เรียงกันไปแล้วเนี่ย ก็จะพบว่าตัวละครในหนังค่อนข้างเยอะมาก เอาแค่หุ่นก็จำกันไม่หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหุ่นพูดมากประจำตัวท่านเซอร์ ยังมีเหล่าหน่วยทีอาร์เอฟ ยังมีตัวละครใหม่อย่างเด็กน้อยวัย 14 ที่พกพาเจ้าหุ่นตัวกระเปี๊ยกสีฟ้านั่นมาอีก
มีนางเทพตัวร้ายที่ก่อเรื่องในภาคนี้ แล้วก็ยังมีนางเอกแสนสวยตาคมผู้ที่เชื่อว่าตำนานเล่าขานเป็นเรื่องหลอกลวงมานานแสนนานนั่นอีก
ตัวละครเยอะเสียจนหนังมีปัญหาในการเล่า
การที่มีตัวละครมากเกินไป และดูไมเคิล เบย์ ก็อยากจะหยิบทุกคนมาเล่าให้หนังดูมีความซับซ้อน ให้ดูตัวละครหลักที่ปมขัดแย้งและมีอุปสรรคในการเดินหน้าไป กลับกลายเป็นตัวขัดขวางไม่ได้หนังดำเนินไปอย่างมีเอกภาพ เพราะบางครั้งคนดูก็สับสน
ขณะที่บทก็ค่อนข้างอ่อนด้อย หยิบจับทุกอย่างมาเดินต่อกันอย่างไม่ค่อยมีตรรกะ ดูจบแล้วก็มานั่งสงสัยไถ่ถามกันว่า “แบบนั้นก็ได้หรือ” อะไรแบบนี้เป็นต้น
ถ้าใครอยากดูหนังเรื่องนี้ให้สนุก ไม่ต้องมาจับผิดเรื่องบทนะครับ
โดดเด่นที่ฉากแอ็คชั่นวินาศสันตะโร เหมาะกับโรงเสียงกระหึ่ม
อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่า ‘อัศวินรุ่นสุดท้าย’ จะไม่มีอะไรโดดเด่นเลย ยังคงยอมรับว่า ไมเคิล เบย์ คือคนที่เก่งในการกำกับฉากแอ็คชั่น เขาเลือกมุมมองกล้องให้เข้าความเป็นหนัง 3 มิติบนจอ IMAX ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นฉากต่อสู้กันของหุ่นยนต์ ฉากยิงกันสนั่นจอสไตล์ทหารๆ อย่างที่เขาทำไว้ใน ’13 Hours’ หรือจะเป็นฉากขับยานบินฉวัดเฉวียนพร้อมยิงใส่กัน ช่วงท้ายของหนังจัดหนักจัดเต็มชนิดที่คนชอบหนังแอ็คชั่นคงจะได้สะใจกันไปข้างนึง
ซึ่งเราคาดหวังว่าจะได้พบในหนังของเขาอยู่แล้ว
หนังอาจจะมีปัญหาบ้างที่ไม่ทำให้ผู้คนอินหรือมีอารมณ์ไปกับเรื่องราว เพราะเหมือนหนังจะไม่ได้เล่าเรื่องของใคร หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้ให้เวลาที่ทำให้เรารู้จักกับใครในนั้นมากพอ เรามีเพียงความผูกพันพอประมาณกับตัวละครเก่าๆ ที่เราเคยดูมาหลายๆ ภาค แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้เราได้อิน
แม้ช่วงท้ายจะจัดหนัก ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะมีอารมณ์ร่วมไปกับมัน ส่วนหนึ่งมันมีปัญหาในการเล่าเรื่อง ส่วนตัวคิดว่าถ้าหนังตัดตัวละครที่ไม่จำเป็นออกไปเสียบ้าง ตัดคำพูดของบางตัวบางสถานการณ์ออกไป และจัดเรียงการเล่าเสียใหม่ หนังก็อาจจะดีกว่านี้ก็ได้
นอกจากงานด้านภาพแล้ว ในส่วนของงานด้านเสียงก็เป็นอะไรที่สอดรับกันดีกับตัวภาพ มันเป็นหนังที่ต้องการการรับชมบนจอใหญ่ๆ ระบบเสียงกระหึ่มอย่าง IMAX มาก แม้ว่าโดยรวมของหนังจะอ่อนเรื่องอื่นก็ตาม
หนังมีฉากแถมที่แทรกอยู่กลางเครดิต บอกเป็นนัยถึงภาคต่อไปที่อาจมีตามมา
ชื่อภาพยนตร์: Transformers: The Last Knight / ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 5 อัศวินรุ่นสุดท้าย
ผู้กำกับภาพยนตร์: Michael Bay
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Art Marcum (screenplay), Matt Holloway (screenplay)
นักแสดงนำ: Mark Wahlberg, Anthony Hopkins, Josh Duhamel, Laura Haddock, Isabela Moner, Stanley Tucci, Liam Garrigan, Martin McCreadie
ความยาว: 149 นาที
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Sci-Fi, Thriller
อัตราส่วนภาพ: 2.35 : 1
เรท: ไทย/ท, MPAA/PG-13
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 22 มิถุนายน 2560
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Di Bonaventura Pictures, Hasbro, Huahua Media
ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 5 อัศวินรุ่นสุดท้าย
Transformers: The Last Knight - 6
6
Transformers: The Last Knight
หนังมีตัวละครมากเกินไป ขณะที่บทก็ค่อนข้างอ่อนด้อย หยิบจับทุกอย่างมาเดินต่อกันอย่างไม่ค่อยมีตรรกะ แต่ก็ยังคงยอมรับว่า ไมเคิล เบย์ คือคนที่เก่งในการกำกับฉากแอ็คชั่น เขาเลือกมุมมองกล้องให้เข้าความเป็นหนัง 3 มิติบนจอ IMAX ได้ดี