ดูเหมือนทุกประเทศจะมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น เรื่องความแตกต่างอันมากมายของความฐานะและโอกาส คนที่อยู่เป็นเบี้ยล่างก็มุ่งหวังสร้างโอกาสที่จะก้าวขึ้นไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ไปหายใจอย่างคล่องปอดที่ด้านบน แต่การกระโดดขึ้นไปสูงได้นั้นไม่ใช่หนทางที่ง่ายอย่างแน่นอน ‘The White Tiger’ ชื่อไทย ‘พยัคฆ์ขาวรำพัน’ ก็เป็นหนังอีกเรื่องที่พูดถึงในสิ่งนี้
หนังสร้างจากหนังสือขายดิบขายดีติดอันดับของ The New York Times ของ อาราวินด์ อดิกา ที่ได้รับรางวัล Man Booker Prize เรื่องราวที่ชวนอึ้งไปกับสิ่งที่เราอาจเคยได้ยินมาบ้าง กับบางสิ่งที่เรายังไม่เคยได้รู้
สิ่งที่ปรากฏแทรกอยู่ในสังคมคนอินเดีย
เรื่องย่อหนัง ‘The White Tiger’
หนังเล่าเรื่องของ พลราม (Adarsh Gourav/อาดาร์ช กอราฟ) เจ้าของสตาร์ทอัปที่มั่งคั่งขึ้นมาในบังกาลอร์ แต่นั่นคือปัจจุบัน ส่วนอดีตของเขานั้นไม่มีใครคาดคิดว่ามันช่างแตกต่างจากวันนี้มากมาย
เขากำลังจะเล่าประวัติย่อๆ ของตัวเองใน 2 ชั่วโมงเศษให้เราฟัง
ชีวิตของเขาเกิดในเมืองที่แร้นแค้นทางตอนเหนือของอินเดีย อยู่กับย่า พ่อ และพี่ชาย ชีวิตที่ถูกตระกูลใหญ่ร่ำรวยขูดรีดมาตั้งแต่เด็ก จนวันหนึ่ง ความทะเยอทะยานและอยากจะหลุดพ้นจากชีวิตที่แสนห่วยของระบบชนชั้นวรรณะในประเทศตัวเอง
ในที่สุด เขาก็ได้มาเป็นคนขับรถของอโศก (Rajkummar Rao/ราจคุมมาร์ ราว) ลูกชายคนเล็กในตระกูลร่ำรวยที่ได้ไปเรียนถึงอเมริกา เขาดูเป็นคนมีหัวคิดก้าวหน้า ไม่เท่านั้น เขาอาจหอบหิ้วเอาสาวหัวสมัยใหม่อย่างพิ้งกี้ (Priyanka Chopra/ปริยันกา โชปรา โจนัส จากหนัง ‘We Can Be Heroes’, ‘Baywatch’ และ ‘Isn’t It Romantic’) กลับมาด้วย แต่ดูเหมือนทั้งสองคนจะไม่ค่อยมีความลงรอยกับพ่อและพี่ชายของเขาสักเท่าไหร่ แรกๆ ก็ดูเหมือนจะดี
แต่สุดท้าย เขาก็ต้องถูกป้ายความผิดจากเจ้านายของตัวเอง แล้วจากนั้นล่ะ เขาทำยังไงจึงได้กลายเป็นเศรษฐีอย่างวันนี้
รีวิวหนัง ‘พยัคฆ์ขาวรำพัน’
ตัวหนังที่เล่าได้อย่างมีชั้นเชิงตามแบบฉบับของหนังสมัยนี้ เริ่มด้วยฉากตรงกลางเรื่อง ฉุดความสงสัยสนใจของคนดูก่อนจะข้ามไปเล่าปัจจุบัน จากนั้นจึงย้อนกลับสู่อดีตอีกครั้ง แล้วพาคนดูเดินตามมาจนจนเจอปัจจุบันอีกครั้ง
โดยทั้งหมดเป็นเรื่องราวของคนที่เกิดมาในชนชั้นสุดต่ำในสังคม ก่อนจะพยายามขยับตัวเองขึ้นมาและเผชิญหน้ากับกำแพงใหญ่หลายชั้นที่กั้นขวางไม่ให้เขาไปต่อ
ทีมงานข้นคลั่ก
นอกจากได้วัตถุดิบชั้นดีอย่างผลงานเขียนของ อาราวินด์ อดิกา แล้ว หนังเรื่องนี้ได้ผู้กำกับเป็น รามิน บาห์รานิ ที่เคยกำกับและเขียนบทหนังเรื่อง ‘Chop Shop’ ในปี 2007, ’99 Homes’ ในปี 2014 และ ‘Fahrenheit 451’ ในปี 2018 ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
นอกเหนือจากนั้น ก็ยังจะได้นักแสดงนำเลือดใหม่ที่กำลังมาแรงอย่าง อาดาร์ช กอราฟ และ ราจคุมมาร์ ราว มาร่วมฝากผลงานพร้อมกับสาวสวยที่คุ้นชื่ออย่าง ปริยันกา โชปรา โจนัส อีก
งานนี้ถือว่าคุ้มค่ากับการรับชมเต็ม 125 นาที
การแหกกรงไก่ของพยัคฆ์ขาว
เป็นการเล่าประวัติที่ยาวนานทีเดียว จากเด็กน้อยที่อยู่ในบ้านหลังโทรมๆ อยู่ภายใต้การกดขี่ที่ได้ฟังแล้วรู้สึกหดหู่แทน พวกเขาเปรียบตัวเองเป็นไก่ที่อยู่ในกรง พวกมันถูกลากออกมาทีละตัว ตัดคอ เลือดสาดนองแล้วถอนขนออก ตัวอื่นที่เห็นตัวก่อนหน้าโดนอย่างนั้นก็ต้องกลัวและหงอจนไม่คิดจะต่อต้านขัดขืน สุดท้าย ทุกคนก็ยอมจำนนไม่มีใครกล้าหาญคิดก้าวขึ้นไป
พลรามจึงกลายเป็นไก่ในกรงที่คิดแหกกฎอยู่เพียงตัวเดียว เขาต้องการจะหลุดออกไปกรงไก่เน่าๆ นี้เสียที
คำว่า ‘เสือขาว’ นั้นหมายถึงเสือโคร่งตัวที่พบได้เพียงหนึ่งในพัน เป็นสิ่งที่หาพบได้ยาก และแน่นอนว่า พลราม คิดว่าเขาเป็นสิ่งนั้น เขาต้องการจะกระโดดสูงขึ้นมาท่ามกลางผู้คนมากมายที่ยอมกลายเป็นทาสแห่งการแบ่งแยกชนชั้น ยอมให้ประเพณีที่ล้าหลังที่ก่อเป็นกำแพงไม่ให้ผู้คนได้ลืมตาอ้าปาก คนจนที่ถูกกดขี่จากคนรวยเลวๆ ในสังคม รีดไถกันจนไม่มีอะไรจะกิน เล่าเรียนอยู่หวังจะได้เข้าเมืองใหญ่กลับต้องออกมากลางคันเพื่อช่วยงานที่บ้าน ถูกย่าที่เป็นใหญ่ในครอบครัวดูดเงินไปไม่พอ ยังบีบบังคับให้แต่งงานอีกด้วย
ทุกสิ่งรวมกันเป็นเหตุให้พลรามเลือกจะปฏิวัติด้วยการออกมาจากเงื้อมมือของย่า มายังเมืองใหญ่และได้เจอกับอโศก ที่พอเห็นปุ๊บก็รู้สึกปั๊บว่า คนๆ นี้แหละที่จะเป็นเจ้านายของเขา
แต่ดูเหมือนสิ่งที่ฝังรากลึกในหัวของเขามันยังไม่หมดสิ้นไป สุดท้าย คนข้างล่างอย่างเขาก็ทำได้เพียงคิดว่าจะดำรงชีวิตด้วยการเป็นคนรับใช้ของคนอื่นโดยอาจหลงลืมไปว่า เจ้านายของเขาอาจจะเปลี่ยนคนรับใช้เมื่อไหร่ก็ได้ ถีบหัวส่งเมื่อไหร่ก็ได้ หรือโยนความผิดความชั่วร้ายมาให้พวกเขาเมื่อไหร่ก็ได้เช่นเดียวกัน
ถ้ายังยินยอมจะเป็นเบี้ยล่างอยู่ ก็คงไม่มีได้โผล่หัวขึ้นมาหายใจคล่องปอดได้แม้สักที
ควักไส้เรื่องชนชั้นในอินเดียออกมากอง
หนังเรื่องนี้ นอกจะจากหยิบขนบและวิถีคิดของคนอินเดียบางกลุ่มออกมาตีแผ่แล้ว ก็ยังมีตัวละครที่มีความหัวใหม่ เติบโตและได้รับการศึกษามาจากเมืองนอกอย่างอเมริกา ทำให้เหมือนการหยิบเอาความคิดดั้งเดิมในบ้านมาชนกับความคิดที่แตกต่างจากนอกบ้าน อะไรประมาณนั้น
หนังเล่ายืดยาวแต่ไม่น่าเบื่อแม้สักนาที จิกกัดระบบชนชั้นวรรณะในอินเดียให้อย่างเจ็บแสบ ไม่ดูเนี้ยบแบบ ‘Parasite’ ของบองจุนโฮ แต่มีความแสบๆ คันแบบ ‘Slumdog Millionaire’ ของแดนนี่ บอยล์ ครึ่งหลังนี่ พลรามจัดหนักจัดเต็มด้วยพฤติกรรมและความคิดที่พลิกผันต่างไปจากครึ่งแรกอย่างสิ้นเชิง
พลรามใช้หมด ทั้งมันสมอง กลยุทธ์ และเล่ห์กลสาระพัด เพื่อถีบตัวเองขึ้นมาจากความยากจน ความเป็นทาสของระบบ การแบ่งชนชั้น สิ่งที่เขาทำไม่ได้ดีเด่ ออกไปในทางเลวร้ายในบางมุมด้วยเสียด้วยซ้ำ ก็อย่างที่เขาว่านั่นแหละ คนจนจะเปลี่ยนกลายเป็นคนรวย ก็มีได้สองอย่าง การเมืองและอาชญากรรม
มีบางถ้อยคำที่ฟังแล้วชวนสะอึก ชวนพนักหน้าหงึกๆ คล้อยตาม คนรวยกว่าเลือกที่จะเป็นคนแบบไหนก็ได้ เลือกจะทำตอนนี้หรือใช้โอกาสหนหน้าได้ แต่สำหรับคนจนๆ ไม่มีหรอก โอกาสแบบนั้น
คนที่เกิดในด้านสว่างเหมือนเจ้านายผม มีโอกาสเลือกที่จะเป็นคนดี คนที่เกิดในกรงแบบผม เราไม่มีโอกาสนั้น
สุดท้าย นี่อาจจะเป็นการรีวิวที่ชักช้าไปหน่อย ถ้าเทียบกับหลายเว็บที่จัดไปก่อนหน้าแล้ว แต่ก็ถือว่ายังเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยก็ได้ชมภาพยนตร์อินเดียที่ชื่นชอบ ถูกใจ และหาดูได้ในเน็ตฟลิกต์
ชื่อภาพยนตร์: The White Tiger / พยัคฆ์ขาวรำพัน
ผู้กำกับภาพยนตร์: Ramin Bahrani/รามิน บาห์รานิ
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Ramin Bahrani/รามิน บาห์รานิ
นักแสดง: Adarsh Gourav/อาดาร์ช กอราฟ, Rajkummar Rao/ราจคุมมาร์ ราว, Priyanka Chopra/ปริยันกา โชปรา โจนัส
ดนตรีประกอบ: Danny Bensi, Saunder Jurriaans
แนว/ประเภท: Crime, Drama
ความยาว: 125 นาที
ปี: 2021
อัตราส่วนภาพ: 2.35 : 1
เรท: ไทย/-, USA/-
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 22 มกราคม 2021 ทาง Netflix
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย/สตูดิโอ: ARRAY Filmworks, Lava Media, Netflix
พยัคฆ์ขาวรำพัน
บทและพล็อต - 9.1
การแสดง - 8.7
เพลง/ดนตรีประกอบ - 8.6
การดำเนินเรื่อง - 9.5
โปรดักชัน - 7.9
งานถ่ายภาพ - 8.7
8.8
The White Tiger
หนังอินเดียที่ดัดแปลงสร้างจากหนังสือดัง เรื่องราวของชายจากชนชั้นวรรณะต่ำในอินเดียที่ถูกระบบกดขี่สาระพัด แต่เขาต้องการที่จะถีบตัวเองขึ้นมาให้กลายเป็นคนรวย ด้วยทักษะเล่ห์เหลี่ยม กลยุทธ์ และความระยำ แต่นั่นแหละ มันทำให้เขากลายเป็นคนรวยได้ในที่สุด หนังมีความตีแผ่ระบบชนชั้นแบบแสบๆ คันๆ เป็น 125 นาทีที่ไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย