รีวิวหนัง The Suicide Squad | รวมทีมวายร้ายพิทักษ์โลก..ฉบับกวน(ทีน)

เริ่มต้นอีกครั้ง กับการผ่อนคลายของทางการที่ให้ทางโรงหนังในเขตจังหวัดสีแดงเปิดให้บริการฉายหนังได้ 1 ตุลาคม จึงเป็นวันที่หนังดังที่อั้นๆ กันไว้เริ่มได้โอกาสถูกปล่อยคิว และด้วยเหตุผลบางอย่าง หนึ่งเรื่องแรกที่นายแพทจะประเดิมในวันปล่อยคิวก็คือเรื่องนี้ ‘The Suicide Squad’ เรื่องราวของเหล่ามหาวายร้ายที่ได้เวลาออกทำงานเป็นคนดี…อีกครั้ง

ภาคก่อนหน้าเป็นผลงานของ David Ayer แต่ครั้งนี้ ผู้กำกับคือ James Gunn ผู้ที่ทั้งลงมือเขียนบทและกำกับเอง พร้อมตัดทิ้งโจ๊กเกอร์ และหยิบเอาวายร้ายตัวที่ถูกมองข้ามหรือตัดทิ้งให้กลับมาโลดแล่นในโลกที่ผสมผสานกันของสีสันแฟนตาซี/ไซไฟในแบบหนังซูเปอร์ฮีโร่

งานนี้มีตัวเล่นให้เลือกใช้มากมาย ทั้งแบบที่มาไวไปไว และอยู่ยาวๆ

เรื่องย่อหนัง ‘The Suicide Squad’

เดินทางกลับสู่ขุมนรกบนดินที่มีชื่อว่า เบลล์ รีฟ มันคือคุกที่สร้างเอาไว้คุมขังพวกสุดยอดวายร้ายทั้งหลาย ความเข้มงวดของที่นี่จึงไม่ธรรมดา และพวกเขาพร้อมทำทุกวิธีที่จะได้ออกมาจากที่นั่น หนึ่งในนั้นคือการเข้าร่วมทีม Task Force X ทีมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปฏิบัติภารกิจบางอย่างแลกกับการลดโทษไปสิบปี ทีมนี้มี อแมนด้า วอลเลอร์ (Viola Davis จากเรื่อง ‘Fences’, ‘The Help’) คอยดูแลสั่งการ นอกจากฝังหูฟังเอาไว้ ก็ยังฝังระเบิดไว้หลังหัว

ถ้าพวกเขาคิดหนีไม่ทำภารกิจ วอลเลอร์จะกดระเบิด ผลคือ…หัวแหลกเละในทันที!

งานนี้ มีมหาวายร้ายหลากตัวที่ออกปฏิบัติการร่วมกัน ไม่ว่าจะหน้าที่คุ้นเคยอย่าง ฮาร์ลีย์ ควินน์ (Margot Robbie จากเรื่อง ‘Birds of Prey’) สาวจิตขวัญใจของผู้คน, บลัดสปอร์ต (Idris Elba จากเรื่อง ‘Thor: Ragnarok’) ที่ถูกวางตัวให้เป็นผู้นำทีม, พีซเมกเกอร์ (John Cena จากเรื่อง ‘Bumblebee’) วายร้ายที่จะมีชีวิตและความสามารถเหมือนกับบลัดสปอร์ตยังกับแกะ นอกจากนี้ก็ยังมี แรตแคชเชอร์ 2 (Daniela Melchior) สาวขี้เซานักควบคุมหนู, ซาแวนท์ (Michael Rooker จากเรื่อง ‘The Walking Dead’ และ ‘Guardians of the Galaxy’), คิงชาร์ก (พากย์เสียงโดย Sylvester Stallone), แบล็คการ์ด (Pete Davidson), โพลกาดอทแมน (David Dastmalchian), จาเวลิน (Flula Borg), กัปตันบูมเมอแรง (Jai Courtney), ทีดีเค, มองกัล, วีเซิล บลาบลาบลา เยอะไปหมด อ้อ! ยังมี ผู้พันริค แฟล็ค (Joel Kinnaman) ที่เป็นผู้บัญชาการภาคสนามของทีมภารกิจฆ่าตัวตายทีมนี้ด้วย

งานนี้ พวกเขาถูกปล่อยลงเกาะแห่งหนึ่งในประเทศคอร์โต มัลทีซ เพื่อปฏิบัติภารกิจค้นหาและทำลายสิ่งก่อสร้างบางอย่างที่ถูกระบุว่าเก็บของสำคัญไว้ข้างใน

คนที่ถูกมองว่าเป็นมหาวายร้าย หากปฏิบัติภารกิจนี้ได้สำเร็จ เขาจะกลายเป็นคนกู้โลกได้หรือเปล่านะ?

รีวิวหนัง ‘เดอะ ซุยไซด์ สควอด’

เอาจริงๆ แล้ว แทบไม่ต้องตามดูหนังเรื่องไหนมาก่อนเลย ก็สามารถดูหนังเรื่องนี้เข้าใจและสนุกกันมันได้ เพราะถึงแม้จะเริ่มเรื่องเร็ว แต่ก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากไปกว่า การที่กลุ่มผู้ดูแลคุกจะเลือกหยิบนักโทษของตนขึ้นมาแล้วบีบให้รับภารกิจ โดยเลือกจะไม่บอกเหตุผลที่แท้จริงของปฏิบัติการ จะว่าไปมันก็คือการเล่าเรื่องใหม่อีกครั้ง โดยผู้กำกับคนใหม่ที่ต้องการจะทำหนังรวมวายร้ายในแบบฉบับของตนเอง

หนังที่บอกกับเราว่า … วายร้ายก็มีหัวใจ

เจมส์ กันน์ ผู้กำกับเลือกเน้นเล่าเรื่องทีละตัวละคร อย่างเช่นเรื่องของบลัดสปอร์ตก่อนรวมทีม เขาถูกวางตัวโดย อแมนด้า วอลเลอร์ ให้เป็นผู้นำ ด้วยบุคลิกและจิตใจด้านดีที่ยังคงอยู่ในส่วนลึก จากนั้น เมื่อรวมทีมกันแล้ว ผู้กำกับก็เริ่มจะใส่แง่มุมเบื้องหลังของตัวละครตัวอื่นๆ ให้ผู้ชมได้รู้จัก

เขาทำตัวละครวายร้ายให้มีจิตใจ และทำให้คนดูเข้าถึงพวกเขา

หนึ่งในนั้น คือ การให้สองตัวละครที่มีความแตกต่างแต่ทำงานร่วมกัน แรตแคชเชอร์ 2 เป็นหญิงสาวที่ควบคุมหนูได้อย่างใจ ในขณะที่บลัดสปอร์ตมีความหลังฝังใจทำให้กล้าทุกอย่างแต่กลัวหนู บลัดสปอร์ตนี่ก็ยังเล่าไปถึงลูกสาว หนึ่งในแรงบันดาลใจสำคัญของการร่วมทีม

ใส่ลูกบ้า ระห่ำ และกวนตีน

คงเรียกได้ว่า สะใจคอหนังซูเปอร์ฮีโร่ เมื่อเจมส์ กันน์ หันมานั่งกำกับหนังวายร้าย DC แถมยังใส่ลีลาส่วนตัวที่ทำให้สีสันของ เดอะ ซุยไซด์ สควอด มีแต่ความสะเด็ดสะเด่า ไม่ซ้ำทางเดิม จัดหนัก จัดโหด แถมยังคาดเดาได้ยาก ผู้ชมอาจจะคิดว่าหนังน่าจะไปทางนี้ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ มันไปอีกทางเฉย

ไม่พอ ยังจัดมุกฮาแนวกวนตีนใส่เข้ามาเรื่อยๆ ระหว่างทางก็จะมีช็อตเล็กๆ ที่เป็นตัวอักษร นั่นก็กวนตีนได้อีกนะ

ไม่เพียงแค่ลีลาและคาแรกเตอร์ของแต่ละตัวจะชัดเจนแล้ว หากเพลงและดนตรีประกอบ ลีลาการเดินมุมกล้อง ยังผสานกันได้ดีจนหนัง มัน ไปสุด สนุกไม่มียั้งจริงๆ

ขณะที่ตัวละครเองก็มีทั้งตัวที่คนดูอาจจะรู้สึกว่า ‘อะไรวะเนี่ย’ และตัวที่ขโมยซีนตลอดเวลา นั่นก็คือ คิงชาร์ก ที่พากย์เสียงโดยสตอลโลนคนนั้นนั่นเอง นอกจากนี้ ผู้ชมจะได้มองเห็นว่า นาทีที่พวกเขาได้รวมกลุ่มกันครั้งแรกนั้น ไม่มีอะไรที่จะเข้ากันได้เลย แต่พอทำงานด้วยกันไป พูดคุยกันมากขึ้น ความเป็นเพื่อนเริ่มจะพอกพูน สิ่งนี้ย่อมจะเกิดได้กับทุกคน มันจึงค่อนข้างจะคลิกกับคนดูอย่างมาก

เหมือนเอาเหตุการณ์จริงมาเขียนใหม่ใส่สีสันแฟนตาซี

ภารกิจของทีมนี้ คือ ต้องขึ้นไปบนประเทศเกาะที่เซ็ตกันขึ้นมาว่าอยู่ในแถบอเมริกาใต้ ปูพื้นฐานให้คนดูได้รู้ว่า เดิมทีประเทศนี้ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ ก่อนจะถูกทหารเข้าโค่นล้มและยึดครอง แต่ภารกิจของพวกเขาไม่ใช่การสังหารผู้นำทางทหาร แต่กลับเป็นอาคารแห่งหนึ่ง ชื่อ โยทันไฮม์ ที่ซึ่งมีการทดลองบางอย่างเกี่ยวกับโปรเจ็กต์ ‘สตาร์ฟิช’ โครงการที่เกี่ยวพันกับต่างดาวในทางใดทางหนึ่ง

ภารกิจที่ดูเหมือนง่าย แต่ก็ไม่ง่าย เพราะในนั้นมีอะไรบางอย่างที่ต้องร่วมแรงร่วมใจกันเท่านั้นจึงจะมีวันทำได้สำเร็จ!

ดูๆ ไป มันชวนให้รู้สึกว่า คนเขียนบท (ก็เจมส์ กันน์ นั่นแหละ) ดูจะต้องการบอกเล่าบางสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงกับสหรัฐ สิ่งที่อเมริกากระทำบนประเทศอื่น แค่แปรเปลี่ยนมันให้เป็นเรื่องเอเลียน เพื่อให้มันเข้ากับความเป็นหนังแฟนตาซีสไตล์แอนตี้ฮีโร่ ซึ่งก็ทำได้ไม่เลว เพราะมันมีทั้งความโหดเลือดสาด ความกวนตีนที่มาไม่หยุด ดนตรีประกอบอย่างมัน มุมกล้องและตัดต่อแบบมันมือ รวมๆ แล้วถือเป็นหนังที่ให้ความบันเทิงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ปิดท้าย หนังมีสองฉากแถม หนึ่งนั้นขึ้นมาเลยหลังฉากจบ แต่อีกหนึ่งนั้นอยู่ท้ายสุดของเครดิต รอนานหน่อยนะตะเอง!

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง