เป็นความบังเอิญหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ที่ได้ดูหนังที่เล่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกติดๆ กัน นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ‘The Son’ หนังดราม่าที่เล่าเรื่องปัญหาในครอบครัวได้อย่างเข้มข้น เป็นปัญหาที่บางครอบครัวอาจต้องพบเจอ ส่วนใหญ่ที่ยังไม่เจอ อาจดูไว้เป็นบทเรียน เป็นอุทธาหรณ์ หรือเป็นอะไรที่สอนให้เราไม่เลือกเดินทางเดียวกับตัวละครในหนัง
ภาพยนตร์จากผลงานการกำกับของ Florian Zeller หลังสร้าง ‘The Father’ ไว้อย่างน่าชื่นชม พาคนร่วมไปสัมผัสประสบการณ์ของพ่อที่ความจำเสื่อม จนได้เสียงตอบรับอย่างท่วมท้น เลยหันมาเล่าเรื่องในอีกมุมมองบ้าง คราวนี้จะบอกเล่าประสบการณ์ของลูกที่มีปัญหาภาวะซึมเศร้าดูบ้าง โดยร่วมงานกับนักแสดงฝีมือดีอย่าง Hugh Jackman แต่ก็ไม่ลืมที่จะพา Anthony Hopkins กลับมาร่วมงานด้วยอีกครั้ง
ในฐานะพ่ออีกเหมือนเช่นเคย
เรื่องย่อหนัง ‘The Son’
ปีเตอร์ (Hugh Jackman จากหนังเรื่อง ‘Logan’, ‘Les Misérables’ และ ‘Chappie’) คือชายหนุ่มผู้มีอาชีพทนาย เขากำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อ เบธ (Vanessa Kirby จากหนังเรื่อง ‘Mission: Impossible – Fallout’ และซีรีส์เรื่อง ‘The Crown’) คนรักของเขาเพิ่งให้กำเนิดลูกตัวน้อย การงานก็กำลังเติบโตและมีโอกาสจะได้ร่วมงานที่เขาใฝ่ฝัน ถ้าทุกอย่างไม่ต้องสะดุดจากเหตุของครอบครัวเก่าของตน
วันหนึ่ง เคต (Laura Dern จากหนังเรื่อง ‘Marriage Story’ และ ‘Jurassic Park’) ภรรยาเก่าของเขาเดินมาเคาะประตูบ้านเพื่อบอกว่า นิโคลัส (Zen McGrath จากเรื่อง ‘Risen’, ‘Red Dog: True Blue’) ลูกชายวัยรุ่นของเธอกับปีเตอร์กำลังมีปัญหา เขาไม่เข้าเรียนนานถึงขั้นจะถูกไล่ออก เธอหมดหนทางจึงขอให้ปีเตอร์มาช่วยเหลือ
ด้วยความเป็นพ่อ ปีเตอร์เลือกจะรับนิโคลัสเข้ามาในบ้านหลังใหม่ พยายามทำความเข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นกับลูกชายที่ครั้งหนึ่งเคยร่าเริง เปี่ยมไปด้วยความฝัน เขาเฝ้าครุ่นคิดว่านี่เป็นความผิดของเขาหรือเปล่า เขาเป็นพ่อที่แย่หรือไม่ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ภาวะที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะส่งผลต่อชีวิตครอบครัวใหม่ รวมไปถึงหน้าที่การงานของเขาอยู่ไม่น้อยเลย
รีวิวหนัง ‘The Son’
ผู้กำกับคนนี้เคยพาเราไปนั่งอยู่ในหัวของพ่อวัยชราผู้มีภาวะความจำเสื่อม ด้วยวิธีการเล่าที่ทำให้เข้าถึงความเจ็บปวดนั้น มาครั้งนี้ เธอหันมาจับให้เรากลายเป็นเหมือนพ่อแม่ที่ประสบกับปัญหาลูกชายวัยรุ่นผู้ป่วยเป็นซึมเศร้า
เอาจริงๆ สังคมทุกวันนี้ ตื่นตัวและให้ความรู้กันเยอะมากขึ้นแล้ว ว่าภาวะอาการ สาเหตุ รวมไปถึงการปฏิบัติตัวกับคนไข้เป็นอย่างไร แต่ดูเหมือนพ่อแม่ในหนังเรื่องนี้จะไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับมันเอาเสียเลย พวกเขารู้ตัวว่าควรแนะนำจิตแพทย์ให้เข้ามาดูแลจิตใจของนิโคลัส แต่เป็นที่ตัวพวกเขาเองที่ไม่ยอมเข้าใจโรคนี้ให้มากเพียงพอ
ปัญหามันเริ่มตรงไหน ใช่การที่ปีเตอร์ผู้พ่อเลือกจะสิ้นสุดทางเดินในครอบครัวเก่า ครอบครัวที่มีเคตและนิโคลัสเดินร่วมทาง ออกมาสร้างทเส้นทางเดินใหม่กับเบธและลูกน้อยที่เพิ่งเกิดมาหรือเปล่า หรือที่จริงมันเป็นที่ตัวพ่อแม่เองไม่พยายามจะเข้าใจภาวะอารมณ์ของลูกตนเองให้มากพอ หรือที่จริง คืออุปนิสัยส่วนตัวของพ่อแม่เองนั่นแหละที่ทำให้ลูกชายต้องมาเป็นแบบนี้
และเอาเข้าจริง มันเป็นที่การปฏิบัติตัวของพ่อแม่ต่อลูกชายนั่นแหละ ที่เราเห็นได้ชัดก็คงเป็นพ่อของเขาที่เอาแต่คาดคั้นจะเอาคำตอบจากนิโคลัสก่อนจะหาโซลูชันให้ตามที่คิดว่าใช่ ซึ่งมันได้ผลในทางตรงข้าม เพราะมันกลายเป็นการเพิ่มความกดดันในจิตใจให้มากขึ้นไปอีก แถมปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไข เพราะนิโคลัสเพียงถามคำตอบคำ ตอบแบบอ้อมๆ บ้าง โกหกบ้าง ปัญหาที่จึงหมักหมม
จนเรารู้สึกเครียดหนักแต่ดูสิ้นหวังมากกับครอบครัวนี้ มันไม่ใช่วิธีการปฏิบัติต่อคนเป็นซึมเศร้าเลย
มันอาจเป็นความผิดหวังต่อพ่อแม่ของลูกชาย ทั้งยังเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้ วันเก่าที่เคยมีกันพร้อมหน้าทั้งพ่อแม่ลูก แต่วันหนึ่ง พ่อแม่แยกทาง เหลือเพียงเขากับแม่ ครอบครัวที่ขาดวิ่นน่าจะเป็นปัจจัยอันสำคัญ ในฝั่งของพ่อแม่ พวกเขาเองก็มีหน้าที่การงานที่ต้องแบ่งสมองไปรับผิดชอบ แต่กลับไม่ค่อยสังเกตภาวะด้านจิตใจของลูกชายตนเอง ทำให้ปัญหาที่หมักหมมย้อนกลับไปส่งผลต่อการงาน
การพานิโคลัสมาอยู่กับพ่อในบ้านหลังใหม่ก็สร้างปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกเช่นกัน เบธที่พยายามจะเข้าใจทั้งต้องช่วยแบ่งเบาดูแลนิโคลัสก็กลับต้องเผชิญปัญหาเพิ่มทั้งที่ไม่ควรต้องเจอ เพราะการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด การตัดสินใจที่ผิดที่ผิดทางไปหมดของพ่อแม่คู่นี้ ส่งผลต่อบทลงเอยของหนัง ซึ่งแม่จะอึดอัดและไม่ชอบนัก แต่ถ้าหนังเขาต้องการสร้างอารมณ์คนดูในแนวทางนี้ก็นับว่าเขาทำสำเร็จแล้วแหละ
อย่างไรก็ตาม หนังยังน่าสนใจอยู่บ้างที่พยายามกระเทาะเรื่องปมในอดีตของปีเตอร์กับพ่อของตนเอง เหมือนจะบอกให้ผู้เป็นพ่อทุกคนเข้าใจลูกเพระตนเองก็เคยเป็นลูกชายวัยรุ่นของพ่อตนเองมาก่อนทั้งนั้น
ต้องชื่นชมความสามารถทางการแสดงของ ฮิวจ์ แจ็คแมน จริงๆ ที่ถ่ายทอดอารมณ์ความเป็นพ่อได้อย่างยอดเยี่ยม จนเราอินน้ำตาคลอได้ขนาดนี้ และรวมไปถึง ลอร่า เดิร์น และ วาเนสซ่า เคอร์บี้ ทันทีที่ได้เห็น แอนโทนี่ ฮอปส์กิน พาให้คิดว่าตัวเองกำลังดู ‘The Father’ อยู่ เมื่อหันมองดูเครดิตปิดท้ายก็ทำให้รู้ว่า คนทำดนตรีประกอบคือ Hans Zimmer นี่เอง ถึงว่าสิ ระหว่างดูนี่รู้ได้เลยว่าตนเองกำลังเครียดมากเพราะมันรู้สึกแน่นหน้าอก จนบางทีรู้สึกว่า ถ้าไม่ต้องดูให้จบเรื่องก็อยากจะลุกเดินออกไปเสียเดี๋ยวนั้นเลย กระวนกระวายว่าหนังมันใกล้จะจบหรือยังนะ
ยิ่งถ้าใครมีปมเรื่องนี้อยู่แล้วมันค่อนข้างจะ trigger เลยเชียวแหละ
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | The Son |
กำกับ | Florian Zeller/ฟลอเรียน เซลเลอร์ |
เขียนบท | Christopher Hampton |
แสดงนำ | Vanessa Kirby, Hugh Jackman, Anthony Hopkins, Laura Dern, Zen McGrath |
แนว/ประเภท | ดราม่า |
เรท | PG-13 |
ความยาว | 123 นาที |
ปี | 2022 |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศส |
เข้าฉายในไทย | 26 มกราคม 2023 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | See-Saw Films, Ciné@, Embankment Films, Film4, Sony Picture Classic, สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชันแนล |
The Son
พล็อตและบท - 6.4
การแสดง - 7.8
การดำเนินเรื่อง - 6.2
เพลงและดนตรีประกอบ - 7.4
งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชัน - 7.4
7
The Son
หนังที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวได้อย่างดราม่าและพาอึดอัดหัวใจ เมื่อลูกกับภรรยาเก่าเริ่มเกเรเพราะการหย่าร้างของพ่อแม่ จนเขามีปัญหาภาวะซึมเศร้า การเลี้ยงดูและปฏิบัติต่อลูกที่ไม่ค่อยจะถูกต้องนำพาปัญหาให้ดิ่งลงเหว เป็นหนังชี้ประเด็นปัญหาครอบครัวที่ชวนสะเทือนใจแกมหน่วง อาจขัดใจบ้างกับการกระทำของตัวละคร แต่ก็ต้องชมว่า ฮิวจ์ แจ็คแมน เล่นดีมากเช่นกัน