รีวิวหนัง The Roundup: No Way Out | พี่เบิ้มทุบแหลก ทั้งบู๊ ทั้งขายขำ

เมื่อได้นั่งดู ‘The Roundup: No Way Out’ หรือชื่อไทย ‘บู๊ระห่ำล่าล้างนรก: ทุบนรกแตก’ หนังแนวแอ็คชันอาชญากรรมทริลเลอร์ ที่กำกับโดย อีซังยง (Lee Sang Yong) ที่เคยกำกับภาคก่อนหน้า ก็พบว่า นี่เราพลาดหนังหนุกๆ แบบนี้ไปได้ยังไงกันนะ

เมื่อไปนั่งค้นข้อมูลดูก็พบว่า จุดเริ่มต้นของมันเป็น ‘The Outlaws’ ที่เคยออกฉายในปี 2017 ภาคนั้นกำกับโดย คังยุนซอง (Kang Yoon Sung) ก่อนที่จะเปลี่ยนมือผู้กำกับและเปลี่ยนชื่อเรื่องมาเป็น ‘The Roundup’ ในปี 2022 ยังคงเล่าเรื่องโดยมีศูนย์กลางที่สายสับมาซอกโด และนำแสดงโดย มาดงซอก เช่นเดิม แถมยังเล่าเรื่องต่อทันทีในปีถัดมา

และอยากบอกว่า มันไม่หยุดแค่นี้แน่นอน

เรื่องย่อหนัง ‘The Roundup: No Way Out’

มาซอกโด (ดอน ลี/Ma Dong Seok/มาดงซอก จากหนังเรื่อง ‘Train To Busan’ และ ‘Along With the Gods’ ทั้งสองภาค) เขาคือตำรวจพันธุ์ดุ ที่ครั้งนี้จะมาลุยสืบคดีนครบาลด้วยลีลากำปั้นสะท้านเมืองอีกหน 7 ปีหลังการกวาดล้างอาขญากรในเวียดนาม มาซอกโด กลับมาทำงานอีกครั้ง โดดมารับภารกิจใหม่พร้อมเข้าร่วมงานกับทีมใหม่ที่นำโดย จางแทซู (Lee Beom Soo/อีบอมซู) และสายสืบคิมมันแจ (Kim Min Jae/คิมมินแจ) เพื่อสืบสวนและตามจับตัวคนร้ายที่คดีฆาตกรรมปริศนา และได้พบว่า มันไม่ใช่แค่คดีฆาตกรรมธรรมดา แต่กลับพัวพันกับยาเสพติดและผู้มีอิทธิพลข้ามชาติ

แม้ยิ่งขุดลึกเข้าไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งค้นเจอตออย่าง จูซองชอล (Lee Joon Hyuk/อีจุนฮยอก จากหนังเรื่อง ‘Along With the Gods’ ทั้งสองภาค) ที่คอยตามขัดขวางและหาเรื่องไม่หยุดหย่อน แต่ก็ไม่ได้ทำให้มาดงซอกล้มเลิก ตรงกันข้าม มันกลับทำให้เขาเจอกับเบาะแสใหม่ที่เกี่ยวพันกับนักค้ายาชาวญี่ปุ่น ริคกี้ (Munetaka Aoki/มุเนะทากะ อาโอกิ จากหนังเรื่อง ‘Oppai Volleyball‘) ยากูซ่าขาใหญ่ในญี่ปุ่น

คงถึงเวลากวาดล้างอาชญกรข้ามชาติพวกนี้ให้สิ้นซากกันเสียแล้วสินะ!

รีวิวหนัง ‘บู๊ระห่ำล่าล้างนรก: ทุบนรกแตก’

มันเป็นหนังภาคต่อที่นายแพทเองก็ยังไม่เคยดูภาคก่อนหน้า ไม่ต้องพูดถึงจะไม่สามารถเปรียบเทียบอะไรไม่ได้ เอาแค่ทำความรู้จักและเข้าใจความเป็นหนังสไตล์ ‘The Roundup’ ก่อนก็แล้วกันเหอะ

หนังปลุกปั้นให้มาดงซอกเป็นตำรวจสายสืบที่ค่อนข้างมุทะลุ ดุดัน หมัดหนัก เน้นใช้กำลังร่วมในการสืบสวน หลงตัวเองบ้างบางที แถมชอบแจกมุกเรี่ยราด ทำให้หนังมันมีความโดดเด่นพุ่งออกมา 2 อย่าง หนึ่งคือมุกตลก สองคือแอ็คชั่นระดับเวอร์ๆ หน่อย

แม้จะมีทีม แต่หลายหน พี่เบิ้มแกก็ไม่เน้นทีมเท่าไหร่ เพราะสามารถบุกเดี่ยวได้ด้วยพลัดหมัดที่โคตรหนักของตนเอง ต่อยที เล่นเอาอีกฝ่ายกระเด็นไปหลายสิบวา แถมยังสู้ได้ทั้งมีด ทั้งดาบ โดยไม่กลัวเกรงเลยสักนิด บวกกับลีลากวนตีนที่ไม่แพ้ใครหน้าไหน เล่นเอาคนดูหัวเราะกลิ้งจนแทบไม่ได้สนใจเรื่องราว

เรื่องของหนังภาคนี้ค่อนข้างเดินไวจนคนดูแทบก้าวไม่ทัน สายสืบร่างใหญ่ที่ไม่น่าจะงานไว แต่กลับสืบได้รวดเร็วเกินคาด จากเคสที่มีคนร่างร่วงลงมาตาย สืบสาวจนได้กลิ่นยาเสพติดชนิดใหม่ ไหลไปถึงเบื้องหลังการค้ายาของบรรดามาเฟียยากูซ่าทั้งญี่ปุ่นและจีนที่ข้ามมาหากินในถิ่นเกาหลีใต้

งานนี้ เลยได้เจอกับพ่อวายร้ายหน้าเทพบุตร อีจุนฮยอก ที่ยังคงร้ายต่อพร้อมทั้งเพิ่มน้ำหนัก และเปลี่ยนน้ำเสียง ให้เข้ากับคาแรกเตอร์ เพราะตัววนี้ไม่ใช่แค่วายร้ายธรรมดาๆ ที่เอาแต่ขัดขวางการทำงานของพี่เบิ้มทุบแหลกอย่างมาซอกโดเท่านั้น แต่เขาคือคนมีสี มันจึงเป็นการจับสองตำรวจที่ฝ่ายหนึ่งดี อีกฝ่ายเลว มาปะทะกันแบบไม่มีใครยอมใคร

จุดหนึ่งอาจมีปัญหาในการติดตามเรื่อง ก็คงจะเป็นการที่ใส่ตัวละครเข้ามาเยอะ ซึ่งถ้าใครตามทันก็คงไม่ใช่ปัญหา แถมยังอาจมองว่ามันลงตัวดีเสียด้วยซ้ำ ฉะนั้น เรื่องนี้มันคงแล้วแต่จริตใครจริตมันล่ะครับ

โดยรวมแล้ว ‘บู๊ระห่ำล่าล้างนรก: ทุบนรกแตก’ เรื่องนี้ ดีเด่นทั้งเรื่องมุกตลกสามช่าฮาไม่หยุดทั้งเรื่อง ทั้งพาร์ทบู๊แอ็คชั่นที่ได้เจอแต่หมัดหนักเหลือใจ ทุบแล้วทุบอีกจนสะใจคนดู หนังจบยังมีฉากแถมกลางเครดิต ที่ทำให้เชื่อว่า ด้วยกระแสตอบรับที่ดีเช่นนี้ หนังยังคงพร้อมจะไปต่อเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุดอยู่แค่ 3 ภาคอย่างแน่นอน

ว่าแล้ว ก็คงต้องไปหา 2 ภาคก่อนมาดูแล้วล่ะสินะเรา

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง