ในช่วงหลายปีที่พ้นผ่าน ดูเหมือนหนังเกาหลีใต้ที่ออกไปเล่าเรื่องนอกประเทศจะทะยอยเข้ามาฉายในไทยอย่างต่อเนื่อง และครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อพวกเขาฉวยใช้เหตุต้นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงมาเติมแต่งกลายเป็นเรื่องเล่าของคนทั้งสามบนภารกิจช่วยเหลือตัวประกันชาติตัวเองให้กลับบ้านเกิดอย่างปลอดภัย วันนี้ นายแพทจะพาไปพบกับ ‘The Point Men’ หรือชื่อไทย ‘ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก’ ไงล่ะครับ
ผลงานภาพยนตร์ที่กำกับโดย Yim Soon Rye/ยิมซุนรเย (ผู้กำกับหนังเรื่อง ‘Little Forest’) เห็นว่าเป็นหนังเกาหลีเรื่องแรกที่ออกไปถ่ายทำนอกประเทศในช่วงโควิด เป็นหนังที่เล่าเรื่องอัฟกานิสถานเรื่องแรกแต่เข้าไปถ่ายทำในจอร์แดนนานเกือบ 2 เดือน เพื่อเล่าเรื่องราวกว่า 80% ของตัวหนัง และเห็นว่าในกองถ่าย ต้องใช้ถึง 5 ภาษาในการสื่อสาร ในตัวหนังก็ต้องมีหนึ่งตัวละครที่รับหน้าที่ล่ามด้วยเช่นกัน
เอาเป็นว่า เราไปเริ่มกันที่เรื่องย่อของหนังกันก่อนครับ
เรื่องย่อหนัง ‘The Point Men’
หลังเหตุ 911 สหรัฐและหลายชาติร่วมทั้งเกาหลีใต้ส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมสถานการณ์ในอัฟกานิสถาน แต่ก็ไม่ว่ายเกิดเหตุลักพาตัวขึ้น เมื่อกลุ่มตาลีบันหัวรุนแรงจับตัวนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้กลุ่มหนึ่งไปเป็นตัวประกัน ส่งผลให้รัฐบาลเกาหลีใต้ตัดสินใจส่ง แจโฮ (ฮวังจองมิน จากหนังเรื่อง ‘Deliver Us From Evil’ และ ‘The Wailing’) นักการทูตฝีมือดีเข้าไปเจรจาเพื่อพาตัวประกันชาวเกาหลีทุกคนกลับบ้านเกิดอย่างปลอดภัย แต่สถานการณ์กลับมิได้เป็นไปอย่างที่คิด
ส่งผลให้เขาต้องพึ่งพา แดซิก (ฮยอนบิน จากซีรีส์เรื่อง ‘Crash Landing on You’, หนังเรื่อง ‘Confidential Assignment’ และ ‘Rampant’) เจ้าหน้าที่ข่าวกรองที่เพิ่งออกจากคุกมาหมาดๆ ที่เชี่ยวชาญพื้นที่ตะวันออกกลางเป็นอย่างดี พร้อมด้วย กาซิม (คังกียอง จากซีรีส์เรื่อง ‘Extraordinary Attorney Woo’ และหนังเรื่อง ‘Exit’) จอมกะล่อนที่เอาตัวรอดเก่งแต่พูดภาษาของพวกตาลีบันได้มาช่วยเป็นล่าม
สามคนที่ต้องร่วมมือกันในภารกิจเดียว เจรจาแข่งกับเวลา พาชาวเกาหลีที่เป็นตัวประกันในกลับมาอย่างรอดชีวิต ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและเสี่ยงตาย
รีวิวหนัง ‘ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก’
มันคือเรื่องราวของเล่าด้วย 3 ตัวละครสำคัญ ที่ร่วมมือกันอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไหร่เพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติที่กำลังตกไปอยู่ในเงื้อมมือของกลุ่มคนหัวรุนแรง ให้กลับสู่มาตุภูมิอย่างปลอดภัย หนึ่งคือ นักเจรจาต่อรองฝีมือดีระดับประเทศที่รัฐบาลเกาหลีส่งมาให้ใช้การทูตแก้ไขสถานการณ์ สองคือ ชายหนุ่มฝ่ายข่าวกรองที่เชี่ยวชาญด้านการรับมือกับสถานการณ์ตัวประกันและพื้นที่ตะวันออกกลาง และสาม คือ คนเกาหลีในพื้นที่รู้ภาษาของพวกตาลีบันที่แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็จำต้องทำเพื่อแลกกับเงิน
ในสถานการณ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงที่มีคนเกาหลีถูกตาลีบันจับไปเป็นตัวประกัน
หนังได้ทั้ง ฮยอนบิน, ฮวังจองมิน และได้ คังกียอง มาร่วมงานกัน ได้ทั้งพล็อตที่ไม่ได้เห็นเล่ากันมากนัก แถมยังดูจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนด้วยซ้ำ เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับการทูตระหว่างประเทศ และอาจปัดป่ายไปถึงรัฐบาลเกาหลีเองด้วยซ้ำ
ในวันเก่าที่โลกถูกตาลีบันคุกคามหนัก สหรัฐอเมริกาถูกโจมตีชนิดช็อกโลก ตึกแฝด World Trade Center ที่ถูกเครื่องบินโดยสารพุ่งชน ทั้งสูญเสียผู้คนทั้งเสียหน้าจนต้องตอบโต้เอาคืนให้หนัก เมื่อตัวการหนีไปกบดานในอัฟกานิสถาน นานาชาติร่วมมือส่งกองกำลังไปไล่บี้จนเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เมื่อคนเกาหลีจำนวน 23 คนนั่งรถเมล์ร้อนจะไปไหนกันสักที่ ถูกตาลีบันลักพาไปเป็นตัวประกัน แลกกับการที่ทางรัฐบาลอัฟกันจะปล่อยตัวนักโทษของตนออกมา จนกลายเป็นเรื่องเป็นราวให้ 3 หนุ่มต้องร่วมกันปวดหัวทำภารกิจในหนังเรื่องนี้
มันคือภารกิจช่วยเหลือตัวประกัน ที่แน่นอนว่าต้องตึงเครียดด้วยมีเวลาเป็นตัวกำกับ และมีความเป็นความตายเป็นตัวเร่ง บทหนังพาเราไปเจอกับสถานการณ์หนึ่ง สอง สาม… ที่เข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน และก๊วนหนุ่มตัวเอกของเราจะต้องฟันฝ่าไปทีละด่านโดยไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรเบื้องหน้า
หากคาดหวังว่ามันจะเป็นหนังแอ็กชันชนิดตูมตาม ก็อาจจะผิดหวัง เพราะพาร์ทแอ็กชันมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เวลาส่วนใหญ่ของหนังจะพาผู้ชมไปลุ้นระทึกว่า การเจรจาของสามตัวละครที่ไม่ค่อยจะเห็นไปในทางเดียวกันสักเท่าไหร่จะได้ผลไหม ประกอบกับผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายรัฐเกาหลีจะลงมาสั่งการยังไง หรือตัวละครฝั่งตาลีบันหรือคนในพื้นที่จะมาไม้ไหน อะไรๆ แบบนั้น
แต่ถึงจะเป็นหนังที่ชวนคนดูมาตึงเครียดขนาดไหน เขาก็ยังฉลาดที่จะเบรกอารมณ์ด้วยมุกตลกขำๆ ที่แทรกอยู่เป็นระยะ ทำให้หนังมีอีกอารมณ์เพิ่มเติมขึ้นมา และผู็ที่ทำหน้านี้ได้ดีในใจผมก็คือ คังกียอง
โดยรวมแล้วมันเป็นหนังที่เล่าเรื่องวิกฤติการทูต แหย่เรื่องที่ใครๆ อาจไม่ค่อยอยากแตะ ตั้งคำถามในสิ่งที่หลายคนไม่อยากถาม แม้จะเดินเรื่องได้สนุกแบบเพลินๆ เหมือนจะเจอเซอร์ไพรซ์บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่ชวนเครียดแบบหัวใจเต้นตูมตาม แต่หนังก็ทำให้ได้พบกับฮยอนบินในมาดหน่วยข่าวกรองเคราครึ้มเนื้อตัวมอมแมมก็ดูเซอร์จนแทบจะจำกันไม่ได้ ขณะที่หนังเองก็ถ่ายทอดภาพความร้อนระอุของอัฟกานิสถานด้วยภาพของทิวทัศน์โทนสีน้ำตาลได้ดี มีบางมุมที่ถ่ายออกมาสวยไม่เลว แม้นั่นเขาจะถ่ายกันอยู่ที่จอร์แดนก็ตาม
เดิมเหมือนหนังเรื่องนี้จะได้ชื่อว่า ‘Bargaining’ แต่ค้นไปค้นมา หนังมีชื่อตอนเขียนบทว่า ‘Negotiation’ ดูจากชื่อก็คงรู้แล้วว่า หนังเน้นหนักทางด้านไหน ตั้งเข็มทิศในใจให้ถูกก่อนเข้าไปดูนะครับทุกคน
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | The Point Men / ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก / 교섭 |
กำกับ | Yim Soon Rye |
เขียนบท | Ahn Young Soo |
แสดงนำ | Hyun Bin/ฮยอนบิน, Hwang Jung Min/ฮวังจองมิน, Kang Ki Young/คังกียอง, Jeon Sung Woo |
แนว/ประเภท | แอ็กชัน, ดราม่า, ระทึกขวัญ |
เรท | 13+ |
ความยาว | 108 นาที |
ปี | 2023 |
สัญชาติ | เกาหลีใต้ |
เข้าฉายในไทย | 23 กุมภาพันธ์ 2023 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | Watermelon Pictures Co., Ltd., มงคลเมเจอร์ |
ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก
พล็อตและบท - 6.8
การแสดง - 7
การดำเนินเรื่อง - 6.8
เพลงและดนตรีประกอบ - 6.8
งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชัน - 7
6.9
The Point Men
โดยรวมแล้วมันเป็นหนังที่เล่าเรื่องวิกฤติการทูต แหย่เรื่องที่ใครๆ อาจไม่ค่อยอยากแตะ เดินเรื่องได้สนุกแบบเพลินๆ ไม่ได้ถึงกับหัวใจเต้นตูมตาย มือจึกเบาะอะไรแบบนั้น แต่ก็ได้เห็นฮยอนบินในมาดหน่วยข่าวกรองสุดเท่สุดเซอร์ที่จำแทบไม่ได้ และที่สำคัญมันเป็นหนังที่เน้นเรื่องการทูตและเจรจา จึงอาจจะไม่ได้มีฉากแอ็กชันตูมตามอะไรประมาณนั้น