รีวิวหนัง วิมานหนาม | ทิ่มแทง เชือดเฉือน ฟาดฟัน เพราะความไม่เท่าเทียม

วิมานหนาม ที่ต่างฝ่ายต่างทิ่มแทงต่อกัน เต็มไปด้วยบทพูดเชือดเฉือน และการแสดงที่ไม่มีใครยอมใคร

รอไม่นานนักหลังเริ่มเปิดโปรโมต หนังไทยแนวดราม่าเรื่องใหม่จาก ใจ​ สตูดิโอ, GDH และจอกว้างฟิล์ม อย่าง ‘วิมานหนาม’ หนังที่มีชื่อฝรั่งอย่างเท่ๆ ว่า ‘The Paradise of Thorns’ หนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของตัวละครในสังคมที่ความเท่าเทียมยังไม่เกิดขึ้นจริง หนังที่พาเราไปไกลถึงแม่ฮ่องสอน ยังสวนทุเรียนที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ลาดชัน และการฟาดฟันกันของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเราไม่แน่ใจว่านั่นใช่ครอบครัวหรือเปล่า

เจฟ ซาเตอร์, อิงฟ้า วราหะ และ สีดา พัวพิมล ในหนังไทยเรื่อง ‘The Paradise of Thorns’
source: GDH

ความเห็นส่วนตัวของนายแพท

หนังไทยจาก GDH ที่กล้าจะแตกต่าง ด้วยเรื่องเล่าที่จริงจังและโจ่งแจ้ง เริ่มต้นที่คู่รัก LGBTQ ที่ไม่อาจจดทะเบียน มีเพียงโฉนดที่ดินแทนความรักและสวนทุเรียน ก่อนที่ความตายจะสร้างเรื่องให้คนที่เหลือต้องมาแย่งชิงกรรมสิทธิ์ต่อกัน บทหนังที่บอกเล่าปัญหาอันเกิดจากความไม่เท่าเทียม (ซึ่งมันไม่ใช่แค่ความไม่เท่าเทียมเรื่องทางเพศเท่านั้น) และบทหนังก็ไม่เน้นประนีประนอม แต่เน้นฟาดฟันชนิดไม่มีใครยอมใคร เหมือนตัวละครต่างขว้างปาหนามทุเรียนเข้าใส่กันตลอด บทพูดมีแต่เชือดเฉือน จนไปถึงองก์สุดท้ายที่เปลี่ยนอารมณ์หนังอย่างคาดไม่ถึง

ดูหนังไปก็อาจครุ่นคิดถึงสัญญะที่หนังแฝงไว้ ขณะเดียวกันก็ทึ่งไปกับการแสดงของตัวนำทั้งสี่ ภาพสวย ดนตรีเยี่ยม กลายเป็นหนังไทยที่น่าจับตาแห่งปี


เรื่องย่อหนัง ‘The Paradise of Thorns’

ทองคำ (เจฟ ซาเตอร์) กับเสก (เต้ย พงศกร เมตตาริกานนท์ จากหนังเรื่อง ‘ผีห่าอโยธยา’ และละครเรื่อง ‘มือปราบมหาอุตม์’) คู่รักชาวส่วนที่ร่วมกันปลูกบ้านใหม่ และเฝ้าประคบประหงมปลูกทุเรียนร่วมกันมา 5 ปี ในที่ดินที่ทองคำเฝ้าหาเงินมาช่วยเสกใช้หนี้จนที่ดินผืนนี้กลับมาเป็นของเสกอีกครั้ง ทั้งสองถือว่าโฉนดที่ดินเป็นใบแทนทะเบียนสมรสของพวกเขา แต่ยังไม่ทันไร เสกก็ดันมาตายจากไปด้วยอุบัติเหตุในสวนทุเรียนของเขาเอง

จากนั้น ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยน เมื่อแม่แสง (สีดา พัวพิมล จากหนังเรื่อง ‘แดนสาป’) เรียกทั้งที่ดินและบ้านคืนไปเป็นชื่อของตน โดยมี โหม๋ (อิงฟ้า วราหะ) หญิงสาวที่แม่เก็บมาเลี้ยง คอยเป็นกองหนุน ทั้งสองทำทุกอย่างได้ง่ายดาย เพราะเขาไม่มีหลักฐานใดทางกฎหมายที่จะบ่งบอกเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านหลังนี้

ตัวอย่างหนังเรื่อง ‘วิมานหนาม’

เท่านั้นไม่พอ ทั้งแม่แสงและโหม๋ก็ยังพา จิ่งนะ (เก่ง หฤษฎ์ บัวย้อย จากซีรีส์ ‘เขมจิราต้องรอด’) น้องชายของโหม๋เข้ามาอยู่ร่วมกันในบ้านหลังนั้นด้วย ทองคำจำเป็นต้องทำทุกทางเพื่อเรียกทวงบ้านและสวนทุเรียนคืน แต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับแม่แสงและโหม๋ที่ทำเต็มที่เพื่อทุกกรรมสิทธิ์ที่ควรจะเป็นของครอบครัว


รีวิวหนัง ‘วิมานหนาม’

หลายคนรู้จักผู้กำกับ บอส นฤเบศ กูโน เพราะเขาคือเจ้าของผลงานการกำกับซีรีส์ LGBTQ ‘แปลรักฉันด้วยใจเธอ’ ที่โด่งดัง มาครั้งนี้ ก้าวขึ้นมากำกับหนังใหญ่ ก็ยังคงหยิบเรื่องราวของ LGBTQ ที่ออกมาในช่วงที่ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมเพิ่งผ่านวุฒิสภามาไม่นาน หนังเล่าเรื่องของทองคำและเสก คู่รักชายชายที่หวังอยู่กินด้วยกันในบ้านเหนือสวนทุเรียน คนหนึ่งลงแรง อีกคนลงเงิน ไถ่ถอนที่ดินที่ติดจำนองเอาไว้จนได้ครอบครองโฉนด และทุกอย่างกลับล่มสลายลงในพริบตา เมื่อเจ้าของโฉนดตายลงอย่างกะทันหัน

เขาที่ไม่เคยมีชื่อในครอบครัว ไม่มีชื่อแม้ในโฉนด ที่พวกเขามองเป็นใบทะเบียนสมรส จึงกลายเป็นคนนอกของครอบครัวไปในทันที ตามกฎหมายแล้ว บ้านและที่ดินมันจึงกลายไปเป็นของแม่ในทันที

เต้ย พงศกร และ เจฟ ซาเตอร์ ในหนังไทยเรื่อง ‘The Paradise of Thorns’
source: GDH

แต่ครอบครัวนี้ก็เว้าแหว่งไปไม่น้อย เมื่อแม่แสงผู้ที่กฎหมายเลือกจะมอบตำแหน่งเจ้าของกรรมสิทธิ์ไปให้ กลับไม่เหลือลูกหลานไว้คอยอยู่ข้างกาย จะมีก็แต่โหม๋ หญิงสาวที่แม่เก็บมาเลี้ยง และต่อมาเธอก็พาจิ่งนะ น้องชายเข้ามาอยู่ร่วมชายคาด้วยอีกคน เส้นทางของการแย่งชิงความเป็นเจ้าของก็เริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น

เหมือนพวกเขาจะเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่เอาเข้าจริง ก็ยังไม่มีใครจะเรียกได้แน่ชัดว่าตนเป็นคนในครอบครัวของใคร แถมต่างคนต่างก็ไม่ได้รักกัน บางคู่ก็กึ่ง ๆ จะเกลียดชังกันด้วยซ้ำเหอะ และเมื่อคิดไปอีกที พวกเขาจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอยู่กันอย่างพึ่งพา แต่กลับไม่มีใครอยากจะอยู่ด้วยกันเลยสักคนเดียว ภาพที่เห็นจึงเป็นการฟาดฟันเพื่อแย่งชิงในสิ่งที่ใจยึดติดว่าเป็นของตนเอง

เมื่อมองไปที่งานภาพและงานดนตรีประกอบ ก็พบว่า งานดี งานเนี้ยบ จนต้องยกนิ้วให้ ในส่วนบทพูดของหนังเรื่องนี้มีความเป็นละครหลังข่าวอยู่พอสมควร ระหว่างดู อาจชวนรู้สึกว่ารีแอ็คชันและคำพูดของบางตัวละครดูดับเบิลกว่าความเป็นจริง เช่นเดียวกับความคิดและอารมณ์ของพวกเขาก็ดูจะขาดความยับยั้งชั่งใจ ทำให้เกิดปฏิกิริยาที่เอาแต่เชือดเฉือน ปะทะ วาจามีแต่ทิ่มแทง เอาอารมณ์มาสาดใส่กัน

เจฟ ซาเตอร์ และ อิงฟ้า วราหะ ในหนังไทยเรื่อง ‘The Paradise of Thorns’
source: GDH

ราวกับว่านั่นคือความตั้งใจของบท ที่ต้องการไปสุด ไม่ประนีประนอม ไม่เอาใจคนดู พยายามจะออกจากหนทางหรือเซฟโซนเดิมๆ ของตนเอง ฝ่ากำแพงเก่าๆ ออกไป อะไรประมาณนั้น

อีกมุมหนึ่ง บทหนังมีความแข็งแรงในหลายด้าน ทั้งการหยิบยกเรื่องความเท่าเทียมในวันที่ยังไม่มีกฎหมายที่ครอบคลุม แม้พฤติกรรมจะเป็นสามีของอีกฝ่ายได้ แต่กฎหมายไม่ได้ระบุ สิทธิในการสืบทอดจึงไม่ได้ถูกหมายรวม แต่หนังก็ไม่ได้เล่าแค่ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศ แต่ยังเล่ามาไกลไปถึงคนอีกกลุ่มด้วย คนที่อยู่ชายขอบที่ไม่ได้รับโอกาสจากสังคม ที่พยายามเต็มกำลังที่จะถีบตัวเองขึ้นมา แม้จะถูกมองเป็นคนเลวที่โคตรเห็นแก่ตัวก็ตาม

นอกจากนี้ มันก็ยังพาเราคิดไปได้อีกด้วยว่า เพราะเรื่องผลประโยชน์ การยึดติดกับสิ่งที่รักและคิดว่าเป็นของเรานี่แหละ ที่ทำให้ญาติพี่น้องต้องตบตีแย่งชิงทรัพย์สมบัติกันมานักต่อนักแล้ว นับประสาอะไรกับคนที่ไม่ใช่พี่น้องกันเล่า

ขณะที่ดูหนังไป คนดูอาจพบว่า หนังมีความเล่าง่าย แต่ภายในนั้นก็มีบางมุมที่ซุกซ่อนอยู่ มีแมสเสจปะปนอยู่ในสัญญะต่างๆ ที่อาจพาให้เขียนฟุ้งไปได้มากมาย ถ้าไม่ต้องห่วงว่าจะสปอยล์คนอ่านอะนะ

โปสเตอร์หนึ่งเวอร์ชันของหนัง ‘วิมานหนาม’
source: GDH

ทีนี้ มาพูดถึงนักแสดงกันบ้าง ต้องบอกว่า หนังเรื่องนี้แข็งแกร่งด้านแคสติ้งจริงๆ เลือกมาแต่ละคน สามารถสวมบทบาทฟาดฟันกันแบบไม่ยั้งได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะ เจฟ ซาเตอร์ กับ อิงฟ้า วราหะ ที่ต่างก็เพิ่งจะเดบิวต์ตัวเองกับงานหนังกันทั้งคู่ แต่กลับเล่นได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ขณะที่ สีดา พัวพิมล ก็มอบการแสดงที่เยี่ยมยอดในทุกมิติมาให้ ขณะที่ หฤษฎ์ บัวย้อย เป็นเหมือนของขวัญเซอร์ไพรส์ คือสีสันที่สดใหม่สำหรับเรา

บทวางเอาไว้อย่างดี พาตัวละครให้ผลัดกันเป็นฝ่ายรุก เชือดเฉือนกันด้วยวาจาแสบสันต์ ฟาดฟันกันด้วยการกระทำชนิดไม่มีใครยอมใคร เป็นไปได้สูงว่า ต้องสักตัวที่คนดูจะเกลียดแม้จะเข้าใจเจตนาและความคิด และเมื่อหนังมันเดินมาถึงองก์ที่สาม ผู้ชมจะได้เจออะไรที่แตกต่างออกไป การฟาดฟันที่คาดไม่ถูกว่ามันจะลงเอยยังไง

สิ่งหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ คนที่เคยชินกับหนังฟีลกู๊ดที่เป็นเครื่องหมายการค้ามานาน อาจรู้สึกช็อคกับหนังเรื่องนี้ ทั้งยังพบกับบทที่ดูมีความโจ่งแจ้งจงใจให้เกิดเหตุการณ์ บอกเล่าเนื้อหาของสงครามของคนกลุ่มที่(เกือบ)เรียกว่าครอบครัว การแย่งชิงท่ามกลางความไม่เท่าเทียมในโลกที่ผู้ชายยังเป็นใหญ่ สวนทุเรียนพื้นที่ทำกินและอยู่อาศัย กลายเป็นหนามทิ่มแทงคนที่ตั้งหน้าตั้งตาไขว่คว้าเพื่อครอบครองมัน

เมื่อหนังจบลง ยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น เพราะรู้สึกว่าเพลงปิดท้ายยามเครดิตมันไพเราะดี


รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง

ชื่อภาพยนตร์วิมานหนาม / The Paradise of Thorns
กำกับบอส นฤเบศ กูโน (เจ้าของผลงานการกำกับซีรีส์ ‘แปลรักฉันด้วยใจเธอ’)
เขียนบทณรณ เชิดสูงเนิน, บอส นฤเบศ กูโน, เกด การะเกด นรเศรษฐาภรณ์
แสดงนำเจฟ ซาเตอร์, อิงฟ้า วราหะ, เต้ย พงศกร เมตตาริกานนท์, เก่ง หฤษฎ์ บัวย้อย, สีดา พัวพิมล
แนว/ประเภทดราม่า, ระทึกขวัญ
เรท15+
ความยาว131 นาที
ปี2024
สัญชาติไทย
เข้าฉายในไทย22 สิงหาคม 2024
ผลิต/จัดจำหน่ายใจ​ สตูดิโอ, GDH, จอกว้าง ฟิล์ม

คะแนนรีวิวหนัง The Paradise of Thorns

พล็อตและบท - 7.8
การดำเนินเรื่อง - 7.5
การแสดง - 8.5
การถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษ และโปรดักชั่น - 8
เพลงและดนตรประกอบ - 7.8

7.9

วิมานหนาม

หนังไทยจาก GDH ที่กล้าจะแตกต่าง ด้วยเรื่องเล่าที่จริงจังและโจ่งแจ้ง เริ่มต้นที่คู่รัก LGBTQ ที่ไม่อาจจดทะเบียน มีเพียงโฉนดที่ดินแทนความรักและสวนทุเรียน ก่อนที่ความตายจะสร้างเรื่องให้คนที่เหลือต้องมาแย่งชิงกรรมสิทธิ์ต่อกัน บทหนังที่บอกเล่าปัญหาอันเกิดจากความไม่เท่าเทียม (ซึ่งมันไม่ใช่แค่ความไม่เท่าเทียมเรื่องทางเพศเท่านั้น) และบทหนังก็ไม่เน้นประนีประนอม แต่เน้นฟาดฟันชนิดไม่มีใครยอมใคร เหมือนตัวละครต่างขว้างปาหนามทุเรียนเข้าใส่กันตลอด บทพูดมีแต่เชือดเฉือน จนไปถึงองก์สุดท้ายที่เปลี่ยนอารมณ์หนังอย่างคาดไม่ถึง ดูหนังไปก็อาจครุ่นคิดถึงสัญญะที่หนังแฝงไว้ ขณะเดียวกันก็ทึ่งไปกับการแสดงของตัวนำทั้งสี่ ภาพสวย ดนตรีเยี่ยม กลายเป็นหนังไทยที่น่าจับตาแห่งปี

User Rating: 3.8 ( 1 votes)
Exit mobile version