หลังจากวันที่ แคตนิส เอเวอร์ดีน จุดประกายไฟแห่งความหวังในหนังที่เล่าถึง ฮังเกอร์เกมส์ ครั้งที่ 74 ที่เป็นหนังเข้าฉายไปเมื่อปี 2012 มันได้จุดประกายให้มีหนังดิสโทเปียจากหนังสืออีกหลายเรื่องที่ถูกสร้างตามๆ กันมา แต่ไม่ว่าใครก็ยังคงจดจำได้ดีว่า มหกรรมกีฬาคร่าชีวิตเรื่องนี้คือที่สุด เวลาผ่านมาหลายปี จนได้ยินข่าวว่าจะมีหนังที่เล่าเรื่องก่อนหน้า (prequel) ออกมาฉายให้ได้ดู ทุกคนตั้งตารอคอย จวบจนวันนี้ ได้ชมกันแล้ว‘The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes’ ที่ใช้ชื่อไทยว่า ‘เดอะ ฮังเกอร์เกมส์ ปฐมบทเกมล่าเกม’
ความคิดเห็นส่วนตัวของนายแพท
เรื่องย่อหนัง ‘เดอะ ฮังเกอร์เกมส์ ปฐมบทเกมล่าเกม’
ย้อนกลับไปสู่พาเน็มในวันที่เพิ่งจัดการแข่งขัน เดอะ ฮังเกอร์เกมส์ ถึงเพียงครั้งที่ 10 แต่มันก็เป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่มีเหตุให้กล่าวขานเกิดขึ้นหลายอย่าง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วทั้งอาณาจักร และในเวลานั้น บิดาแห่งฮังเกอร์เกมส์อย่าง คาซก้า ไฮบอตท่อม (Peter Dinklage จากหนังเรื่อง ‘I Care a Lot’ และซีรีส์เรื่องดัง ‘Game of Thrones’) ก็ยังมีชีวิตอยู่
ประธานาธิบดีสโนว์ในตอนนั้น ก็ยังเป็นเพียงคนหนุ่ม คอริโอเลนัส สโนว์ (ทอม บลายธ์/Tom Blyth) ทายาทคนสุดท้ายของตระกูล เขาอยู่กับคุณย่าและลูกพี่ลูกน้องอย่างไทกริส (ฮันเตอร์ เชเฟอร์/Hunter Schafer จากซีรีส์เรื่อง ‘Euphoria’ และผู้พากย์เสียงอังกฤษใน ‘Belle’) โดยมี ดร.กอล (วิโอล่า เดวิส/Viola Davis จากหนังเรื่อง ‘The Help’ และ ‘The Woman King’) หัวหน้าควบคุมเกมที่ค่อนข้างเอ็นดูสโนว์หนุ่มอยู่ไม่ใช่น้อย
และในฮังเกอร์เกมส์ครั้งที่ 10 นี้ สโนว์วัยหนุ่ม นักเรียนจากแคปิตอล จะต้องมาสวมบทบาทเมนทอร์หรือที่ปรึกษาของ ลูซี เกรย์ แบร์ด (เรเชล เซกเลอร์/Rachel Zegler จากหนังเรื่อง ‘West Side Story’ และ ‘Shazam! Fury of the Gods’) บรรณาการหญิงจากเขต 12 หญิงสาวรูปร่างผอมกะหร่องที่มีความสามารถด้านการขับร้อง โดยเขาไม่รู้เลยว่า ภารกิจครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงตัวเขาเองไปตลอดกาล
รีวิวหนัง ‘The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes’
โลกนี้เคยรู้จักกับภาพยนตร์ดิสโทเปียที่สร้างจากหนังสือขายดีกันมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่วันนี้ ภาพยนตร์เรื่องนั้นหวนกลับมาสานต่อตำนานกันอีกครั้งด้วยเรื่องเล่าก่อนหน้า พาคนดูที่เคยเห็นมหกรรมกีฬาคร่าชีวิตครั้งที่ 74-75 สุดระทึกและเป็นแรงบันดาลใจในวันก่อน ให้ย้อนกลับไปพบกับมหกรรมเดียวกัน แต่เป็นครั้งที่ 10 พาผู้คนไปพบกับตัวละครที่คุ้นเคยตัวนึง พร้อมแนะนำตัวละครใหม่ๆ ที่พวกเขายังไม่เคยได้ค้นพบ
รู้จักกับตัวละครสำคัญในภาค Songbirds
คอริโอเลนัส สโนว์ ในวันเก่านั้น เขาคือทายาทคนสุดท้ายของตระกูลที่เป็นกำพร้าหลังสูญเสียบิดาไป เขาต้องปกปิดไม่ให้ใครรู้ว่าตระกูลสโนว์กำลังตกต่ำแบบสุดๆ ดิ้นรนเล่าเรียนในอะคาเดมีของแคปิตอล คาดหวังเงินรางวัลที่จะกลายเป็นทุนให้เขาได้เล่าเรียนในยูนิเวอร์ซิตี และงานพี่เลี้ยงของบรรณาการคือหนทางพลิกฟื้นตระกูล ตอนนั้น เขายังไม่รู้ตนว่า อนาคตจะกลายเป็นประธานาธิบดีจอมเผด็จการ
ขณะที่แม่นกน้อย ลูซี่ เกรย์ แบร์ด เด็กสาวชาวคัฟวี่กลุ่มนักดนตรีพเนจร ที่โตพร้อมกับเสียงร้องอันทรงพลัง การจับสลากให้กลายมาเป็นบรรณาการในครั้งนี้ดูไม่ชอบธรรม รูปร่างผอมบางทำให้ใครๆ ต่างปรามาสว่าคงไม่อาจอยู่รอดในเกมได้นาน แต่ทว่า เสียงร้องและเพลงที่เธอขับขานกลับกุมหัวใจชาวแคปิตอลได้อยู่หมัด
ในเวลานี้ ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าควบคุมเกม คือ ดร.กอล เจ้าของความป่าเถื่อนไร้ขีดจำกัด แม้การแข่งขันในเวลานั้นจะยังไม่ซับซ้อนหรือยิ่งใหญ่น่าทึ่งเหมือนที่เราเห็นในครั้งล่าสุด มองเห็นไอเดียการเข่นฆ่าคนในเกมก็ประจักษ์ชัดว่า เธอเลือดเย็นมากเพียงใด
พาไปพบต้นกำเนิดของหลายสิ่ง และเลิฟไลน์ของคู่พระนาง
หนังเรื่องนี้ พาเราไปรู้จักกับต้นกำเนิดของหลายสิ่งที่เราเคยพบให้ ‘เดอะ ฮังเกอร์ เกมส์’ 4 ภาคเก่า ไม่ว่าจะเป็นกุหลาบสีขาวให้กับลูซี่ กุหลายเป็นดอกไม้ประจำตระกูลสโนว์ ทั้งกลิ่นของมันยังชวนนึกถึงคนในตระกูลที่จากไป, ไทกริส หญิงที่เข้ามามีบทบาทช่วยเหลือแคทนิสใน ‘Mockingjay Part II’, เพลง ‘The Hanging Tree’ ที่แคทนิสเคยร้องนั้นก็แต่งโดยลูซี่ เกรย์ เช่นเดียวกันกับท่าทางโค้งคำนับพร้อมกางแขนของแคทนิส มันเคยถูกใช้โดยลูซี่ เกรย์ มาก่อน และมันก็คือสัญลักษณ์แห่งการอารยะขัดขืนที่ถูกส่งต่อรุ่นต่อรุ่นนั่นเอง
หนังสร้างเลิฟไลน์ระหว่างคอริโอเลนัสและลูซี่ เกรย์ให้เห็นตั้งแต่แรกเริ่มที่ทั้งสองได้พบกัน ก็ลูซี่ เกรย์ เธอสวยและมีเสน่ห์ที่ไม่อาจมองข้ามขนาดนั้นนี่นา ในฐานะพี่เลี้ยงมือใหม่ของคอริโอเลนัส เขาคิดกลวิธีทำให้เธอเป็นที่สนใจได้อย่างน่าทึ่ง เขาจำเป็นต้องให้เธอชนะในเกมนี้เพื่อความอยู่รอดของตนเอง แต่เขาก็หลงรักเธอจนมันพาให้เขาไปไกลเกินกว่าคำว่า พี่เลี้ยง-ที่ปรึกษา-เมนทอร์ และทุกสิ่งที่หล่อหลอมเขา ทั้งเบื้องหลังครอบครัว ระบอบการปกครองอันบิดเบี้ยว ความใกล้ชิดกับ ดร.กอล และไฮบอตท่อม ภารกิจในฮังเกอร์เกมส์ มันนำพาให้เขาเลือดเย็นขึ้นทุกที
ความน่าสนใจของ ปฐมบทเกมล่าเกม
ด้วยความที่มันเล่าย้อนกลับไปราว 65 ปีก่อนภาคแรก ทำให้ไอเดียงานออกแบบภาคนี้จึงมีความเรโทรอย่างเด่นชัด แม้ดูมีวิทยาการ แต่หลายอย่างก็ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น จนสามารถสร้างช็อตชวนขำให้เกิดขึ้นในหนังได้
หนังยาวถึง 2 ชั่วโมง 37 นาที เล่าเรื่องโดยแบ่งออกเป็น 3 องก์ สององก์แรกของหนังค่อนข้างเข้มข้น ทั้งแอ็คชัน ทริลเลอร์และดราม่าระคนกัน เริ่มจากพาเราไปรู้จักกับสโนว์วัยหนุ่ม แล้วก็พาไปรู้จักกับตัวละครต่างๆ ในเกมครั้งนี้ จากนั้นก็กระโจนเข้าสู่เกมที่เดินไปอย่างกระชับ เรื่องเดินไวจนไม่อาจจดจำชื่อได้หมดทุกตัวละคร แต่ทำให้เรามองเห็นถึงความโหดร้ายของระบบ ความเลือดเย็นของคนพาเน็ม ความถูกกดขี่และความพยายามลุกขึ้นต่อต้าน
ขณะที่องก์สามนั้น ค่อนข้างจะเน้นดราม่าเยอะหน่อย จึงเหมือนเรื่องดูเบากว่าทั้งที่เป็นพาร์ทสำคัญ ความเปลี่ยนแปลงในจิตใจของสโนว์วัยหนุ่มดูจะยังเร็วไป ความจริงแล้วมันควรบอกเล่าให้นานกว่านี้หน่อย แต่ก็นั่นแหละ พอเข้าใจได้ว่า พาร์ทนี้ยิ่งใช้เวลา ก็จะยิ่งชวนง่วงและทำให้หนังยาวขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ดี คนดูจะได้พบกับภาพที่คมชัด การถ่ายทำที่ใช้ศักยภาพของ IMAX ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่แต่กดขี่อย่างเลวร้ายของสถาปัตยกรรมแห่งพาเน็ม พารู้สึกถึงอิสระของผืนป่าที่แตกต่างจากความรู้สึกอึดอัดในห้องโถงใหญ่ นี่คืออีกสิ่งที่หนังทำได้ดี
เสียงเพลงที่แสนไพเราะ จุดเริ่มต้นที่กลายเป็นตำนาน
ทั้งหมดทั้งมวล หนังใส่มุมมองของคนพาเน็ม แทนที่จะเป็นมุมของบรรณาการแบบที่ใช้ใน 4 ภาคก่อน และดูคล้ายหนังจะเน้นเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของสโนว์วัยหนุ่มเป็นสำคัญ จากชายหนุ่มที่มีชีวิตยากลำบาก การถูกผลักให้กลายเป็นที่ปรึกษาบรรณาการก็เหมือนการเร่งให้โต เขาจำต้องรู้ให้เท่าทันกลเกม แต่ได้ความรักและการเอาตัวรอดเป็นแรงส่ง จากคนที่ “ดูเป็นคนดี” ในช่วงแรก แต่ความซับซ้อนอันเกิดจากทุกส่วนผสมที่เขาได้รับ กลับแปรเปลี่ยนเขาไปอีกทาง
ขณะที่เสียงร้องของลูซี่ เกรย์ ก็ทรงพลังและสะกดหัวใจผู้ชมได้ตั้งแต่เพลงแรก ความสวยของ เรเชล เซกเลอร์ ก็สะกดหัวใจได้ไม่แพ้กัน ด้วยความสามารถในการร้องและแสดง ทำให้เธอเหมาะอย่างยิ่งกับบทนี้ บทของหญิงสาวที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขต 12 แต่ถูกลากดึงเข้ามาเป็นบรรณาการ ไม่ได้มีความสามารถในการต่อสู้หรือเอาตัวรอด แต่พอจะรู้ตัวว่า เสียงเพลงของเธอนี่แหละที่จะปลุกเร้าให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ แต่ละเพลงในหนัง ต้องเรียกว่ามันไพเราะหมดทุกเพลง ในความรู้สึกของนายแพท เสียงของเรเชลทรงพลังและถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างเต็มเปี่ยม แถมซับไทยก็ร้อยเรียงคำแปลออกมาได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน
หากจะให้หาข้อติ ก็ต้องบอกว่า หาได้น้อยมากจริงๆ และถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะนั่งดูมันอีกหลายรอบเพื่อซึมซับทุกสัดส่วนของหนังให้มากกว่านี้เข้าไปอีก
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes / เดอะ ฮังเกอร์เกมส์ ปฐมบทเกมล่าเกม |
กำกับ | Francis Lawrence |
เขียนบท | Michael Lesslie, Michael Arndt |
แสดงนำ | Rachel Zegler, Tom Blyth, Viola Davis, Hunter Schafer, Peter Dinklage, Josh Andrés Rivera |
แนว/ประเภท | แอ็คชัน, ผจญภัย, ดราม่า, ระทึกขวัญ |
เรท | PG-13 |
ความยาว | 157 นาที |
ปี | 2023 |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
เข้าฉายในไทย | 15 พฤศจิกายน 2023 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | Color Force, Good Universe, Lions Gate Films, Mongkol Major, สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชันแนล |
บทความที่เกี่ยวข้องกับ The Hunger Games
- รีวิวหนัง ‘The Hunger Games’
- รีวิวหนัง ‘The Hunger Games: Catching Fire’
- รีวิวหนัง ‘The Hunger Games: Mockingjay Part 1’
รีวิวหนัง ‘The Hunger Games: Mockingjay Part 2’
คะแนนหนัง เดอะ ฮังเกอร์เกมส์ ปฐมบทเกมล่าเกม
พล็อตและบท - 8
การแสดง - 9
การดำเนินเรื่อง - 7.8
เพลงและดนตรีประกอบ - 9
เทคนิคด้านภาพ - 7.8
8.3
The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes
หิมะอาจเป็นสีขาว กุหลาบในมือก็อาจเป็นสีขาว แต่ทุกอย่างที่เกิดในพาเน็ม ทุกคนที่อยู่รอบตัว ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หล่อหลอมให้ คอริโอเลนัส ค่อยๆ กลายเป็นสโนล์ที่อำมหิต และกลายเป็นประธานาธิบดีจอมเผด็จการที่รอวันถูกโค่นล้ม หนังความยาว 157 นาทีที่เล่าเรื่องได้อย่างมีพลัง ผ่านงานออกแบบที่ดูเรโทรแต่ก็ก้าวล้ำ เล่าที่มาที่ไปของหลายสิ่งที่เคยสัมผัสมาแล้วใน 4 ภาคเก่า อีกสิ่งที่โดดเด่น คือเสียงร้องและความสวยของ เรเชล เซกเลอร์ สะกดคนดูได้อยู่หมัดจริงๆ