จากหนังที่เคยเป็นตำนานสยองขวัญแนวไล่ผีเมื่อ 50 ปีก่อน ตำนานที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้หนังสยองขวัญเรื่องถัดๆ มาได้หยิบยืมมาใช้หลายครั้งหลายหน จนทำให้ค่ายหนังมีการนำ ‘The Exorcist’ ภาคดั้งเดิมมารีมาสเตอร์ใหม่พร้อมฉายโรงไทยก่อนหน้า ก่อนที่สัปดาห์ถัดมาอีกค่ายจะได้เวลานำ ‘The Exorcist: Believer’ หรือชื่อไทย ‘หมอผีเอ็กซอร์ซิสต์ ผู้ศรัทธา’ เข้าฉาย
หนังสยองขวัญเรื่องล่าจากบลัมเฮ้าส์ที่พาตำนานให้กลับมาเพื่อสานต่อความสยองขวัญ ด้วยฝีมือการกำกับของ David Gordon Green คนที่เคยทำ ‘Halloween’ (2018) และ ‘Halloween Kills’ (2021) ให้ติดๆ ดับๆ มาทีนึงแล้ว ครั้งนี้เขาจึงคิดจะทำมันอีกครั้ง ปลุกผีร้าย 50 ปีคืนชีพไม่มีสาย
กลับมาคราวนี้ สิงทีเดียว 2 ร่างไปเลย
เรื่องย่อหนัง ‘The Exorcist: Believer’
เหตุมันเกิดขึ้นเมื่อคุณพ่อวิคเตอร์ ฟีลดิ้ง (Leslie Odom Jr. จากหนังเรื่อง ‘Glass Onion’ และ ‘Hamilton’) ที่ต้องเลี้ยงลูกมาคนเดียวเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว ต้องมาพบว่า แอนเจล่า (Lidya Jewett จากหนังเรื่อง ‘Hidden Figures’ และซีรีส์เรื่อง ‘Good Girls’) เข้าป่าพร้อมกับเพื่อนที่ชื่อ แคทเธอริน (Olivia O’Neill) แล้วเกิดหายตัวไป
หลังความพยายามตามหา ก็เจอตัวสองเด็กสาวได้ในที่สุด แต่กลับพบว่า แอนเจล่า และ แคทเธอริน ต่างก็มีท่าทีที่แปลกไปเหมือนไม่ใช่คนเดิม ทำให้วิคเตอร์ต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้แอนเจล่ากลับมาเหมือนเดิม วิธีการที่พอจะคิดได้ก็คือ การตามหา คริส แมคนีล (Ellen Burstyn จากหนังเรื่อง ‘The Exorcist’ และ ‘Requiem for a Dream’) คนที่เคยมีประสบการณ์ลูกสาวถูกผีเข้าจนต้องทำพิธีไลผีเมื่อ 50 ปีก่อนนั่นไง
รีวิวหนัง ‘หมอผีเอ็กซอร์ซิสต์ ผู้ศรัทธา’
หนังที่เริ่มต้นเรื่องได้น่าสนใจดี เลือกจะเน้นเล่าถึงชีวิตของครอบครัวฟีลดิ้ง ตั้งแต่วันที่แอนเจล่ายังอยู่ในท้องแม่ ผ่านวันเวลาที่ฟีลดิ้งผู้พ่อกลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงลูกสาวมาจนโต และไม่คิดว่าจะมาถึงวันที่ผีร้ายเมื่อ 50 ปีก่อนจะกลับมาหลอนได้อีกครั้ง หลังแอนเจล่ากับแคทเธอรีน ลูกสาวของเพื่อนบ้านเดินเข้าไปแล้วหายไป 3 วัน 3 คืน
แต่เมื่อค้นเจอเด็กทั้งสองแล้ว กลับได้ยินจากปากแอนเจล่าว่าเธอหายไปเพียง 2-3 ชั่วโมง
หนังปูพื้นให้เราได้มองเห็นเรื่องราวใหม่ที่ดูรวมๆ แล้วก็ใช้องค์ประกอบที่ไม่ต่างจากเดิมนัก ปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมเข้ามานิดหน่อย พอให้เห็นว่าแตกต่าง โดยเฉพาะครั้งนี้ เขาเลือกให้ตัวละครเด็กที่ถูกผีร้ายสิงเพิ่มเป็น 2 คน หนึ่งเป็นเด็กผิวดำ อีกหนึ่งเป็นเด็กผิวขาว ที่หายไปในป่าแล้วกลับมาเป็นคนละคน อีกสิ่งที่แตกต่างก็คงเป็นเรื่องการค้นหาความผิดปกติของการแพทย์สมัยใหม่ที่อาจไม่เน้นการใช้เครื่องมือทันสมัยมากเท่าอันเก่า แต่ขณะเดียวกัน ช่วงเวลาไล่ผีก็ดูเหมือนจะชักชวนให้อึ้งและทึ่งได้ไม่เท่าเก่า แถมจะชวนเบื่อมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
อีกสิ่งที่เพิ่มเข้ามาถึงจังหวะ Jumpscare ที่มักจะมาในเวลาที่ไม่ได้ตั้งตัว แล้วยิ่งภาคนี้ เขาฉายในแบบจอใหญ่ใช้ระบบเสียงแบบ IMAX ด้วยความที่มันเซอร์ราวด์และกระหึ่มด้วยแหละ ที่ทำให้มันสร้างความใหญ่ให้กับพื้นที่สยองได้พอสมควรเลย พอเจอฉาก Jumpscare ทีก็พาให้สะดุ้งที
จะน่าเสียดายอยู่หน่อยๆ ก็ตรงที่ บลัมเฮ้าส์หยิบเอาตำนาน 50 ปีมาสร้างภาคต่อทั้งที แต่ดูเหมือนจะไม่อาจสร้างความพิเศษให้ภาคนี้ได้มากเท่าที่คาดหวังเลย บทหนังยังคงเดินทางไปบนเส้นเดิมๆ กับฉากไล่ผีที่แม้เทคโนโลยีจะก้าวไปไกลแล้วแต่กลับไม่ได้เห็นอะไรใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมา ไม่ได้ทำให้อะไรพีคขึ้นสักองศา ผิดกับภาคดั้งเดิมที่เมื่อกลับไปดูยังได้อารมณ์ทึ่งกับการสร้างอะไรแบบนั้นในวันที่เทคโนโลยีมันยังไม่ทันสมัยเท่า ไม่รู้สึกถึงการบิวด์อะไรให้ใจเต้นตูมตาม มองเห็นเพียงการพาตัวละครเก่ากลับมา ซึ่งก็ได้แค่นั้น
อีกส่วนที่พยายามจะเล่าเรื่องความศรัทธา แต่ก็กลับรู้สึกว่าไม่ได้พบอะไรที่เป็นแก่นสารที่แน่ชัดเลยครับ
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | The Exorcist: Believer / หมอผีเอ็กซอร์ซิสต์ ผู้ศรัทธา |
กำกับ | David Gordon Green |
เขียนบท | Peter Sattler, David Gordon Green, Scott Teems, Danny McBride |
แสดงนำ | Leslie Odom Jr., Lidya Jewett, Olivia O’Neill, Ellen Burstyn |
แนว/ประเภท | สยองขวัญ |
เรท | R |
ความยาว | 111 นาที |
ปี | 2023 |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
เข้าฉายในไทย | 5 ตุลาคม 2023 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | Universal Pictures, Blumhouse Productions, Morgan Creek Entertainment |
คะแนนหนัง หมอผีเอ็กซอร์ซิสต์ ผู้ศรัทธา
พล็อตและบท - 5
การดำเนินเรื่อง - 5.5
การแสดง - 6
เพลงและดนตรีประกอบ - 6
งานถ่ายภาพ โปรดักชั่นและเทคนิคพิเศษ - 6.5
5.8
The Exorcist: Believer
เห็นบลัมเฮ้าส์หยิบเอาตำนาน 50 ปีมาสร้างภาคต่อทั้งที แต่ดูเหมือนจะไม่อาจสร้างความพิเศษให้ภาคนี้ได้มากเท่าที่คาดหวังเลย บทหนังยังคงเดินทางไปบนเส้นเดิมๆ กับฉากไล่ผีที่แม้เทคโนโลยีจะก้าวไปไกลแล้วแต่กลับไม่ได้เห็นอะไรใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมา ไม่ได้ทำให้อะไรพีคขึ้นสักองศา ผิดกับภาคดั้งเดิมที่เมื่อกลับไปดูยังได้อารมณ์ทึ่งกับการสร้างอะไรแบบนั้นในวันที่เทคโนโลยีมันยังไม่ทันสมัยเท่า ไม่รู้สึกถึงการบิวด์อะไรให้ใจเต้นตูมตาม มองเห็นเพียงการพาตัวละครเก่ากลับมา ซึ่งก็ได้แค่นั้น อีกส่วนที่พยายามจะเล่าเรื่องความศรัทธา แต่ก็กลับรู้สึกว่าไม่ได้พบอะไรที่เป็นแก่นสารที่แน่ชัดเลย