สัปดาห์นี้มีหนังเข้าฉายหลายเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่หนึ่งในนั้นเป็นหนังแนวภัยพิบัติ ที่คราวนี้ เขาเลือกจะไม่เล่าไปในทางระทึกขวัญ เอาตัวรอด หรือไซไฟ หากแต่เน้นหนักไปที่แง่มุมดราม่าของแม่ที่มีลูกน้อยแรกเกิดต้องดูแลในวันที่เกิดเหตุฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ได้เวลาไปพบกับ ‘The End We Start From หรือชื่อไทย ‘อุ้มลูกฝ่าวิปโยค’ กันแล้วล่ะครับ
ความคิดเห็นส่วนตัวของนายแพท
นี่คือหนังที่บอกเล่าการเอาตัวรอดในวิกฤติอย่างเหตุฝนถล่มเมือง ผ่านตัวละครหลักอย่างแม่มือใหม่ที่ต้องระหกระเหินกับลูกน้อยตามลำพัง ท่ามกลางเหตุภัยพิบัติและสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ที่ต้องการเอาตัวรอด เล่าเรื่องที่ทำให้เธอพบเจอแต่ความสิ้นหวัง แต่มันก็บอกเล่าว่า โลกก็ยังไม่ได้ใจร้ายเกินไปนัก ท่ามกลางความสิ้นหวังก็ยังคงมีหวังอยู่ และบ้านที่หมายถึงครอบครัวก็ยังคงเป็นความหวังนั้น
หนังถ่ายสวยในหลายจุด ดนตรีประกอบก็ส่งเสริมอารมณ์ได้ดี มีนักแสดงคุ้นหน้าหลายคน แต่โจดี้ โคเมอร์ คือนักแสดงที่โชว์ฝีมือได้โดดเด่นเช่นเคย
เรื่องย่อหนัง ‘The End We Start From’
หนังเล่าเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่ง (Jodie Comer จากหนังเรื่อง ‘Free Guy’ และ ‘The Last Duel’) เธอตั้งครรภ์แก่ๆ ใกล้คลอดและต้องอยู่บ้านคนเดียว ในวันที่ฝนถล่มเกาะอังกฤษอย่างหนักหน่วง เธอพาตัวเองไปถึงโรงพยาบาลและคลอดลูกชายได้สำเร็จ แต่ทั้งเมืองเผชิญกับน้ำท่วมหนัก ทำให้ทั้งเธอ สามี (Joel Fry จากซีรีส์ ‘Game of Thrones’ และหนังเรื่อง ‘Yesterday’) และทารกเกิดใหม่ จำเป็นต้องรีบเร่งหนีออกไปจากเมือง
เรื่องราวจากนั้น กลายเป็นการระหกระเหินเพื่อเอาตัวรอดของทั้งเธอและลูกน้อย ในวันที่โหดร้ายราวกับโลกไม่ได้ต้องการให้เธอมีชีวิตอยู่ ความสิ้นหวังประเดประดังมาไม่หยุด แต่เธอก็ยังยืนหยัดจะสู้ต่อเพื่อลูกของเธอ
รีวิวหนัง ‘อุ้มลูกฝ่าวิปโยค’
ในวันที่โลกร้อนแล้งมานาน 3 เดือนเต็มๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็เกิดฝนห่าใหญ่ที่ตกติดต่อกันเป็นเวลานาน นานจนทำให้หญิงท้องแก่ที่อยู่บ้านคนเดียวต้องลำบากในการเอาตัวเองให้รอดไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล จากนั้นก็ได้รับรู้ว่า บ้านที่อยู่นั้นน้ำท่วมอย่างหนัก จนในที่สุดต้องอพยพไปอยู่บ้านพ่อสามีที่ชนบท
ซึ่งก็ไม่ได้แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ชะตากรรมที่ระหกระเหินยังคงดำรงอยู่ เช่นเดียวกับความสิ้นหวังที่ยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ เธอต้องไปต่อ ขณะเดียวกัน ก็ยังพยายามจะ keep คำว่า ‘บ้าน’ เอาไว้ไม่มีที่สิ้นสุด
แม้ตัวละครจะประสบกับเหตุไม่คาดฝัน แต่บางครั้ง บทก็ดูจะใจดี ไม่ได้สร้างสถานการณ์ให้เลวร้ายจนเกินไป แต่บางครั้งอีกเช่นกัน ที่บทหนังบอกเล่าถึงช่วงเวลาที่มนุษย์ล้วงเอาสันดานดิบมาใช้ และผลักให้หญิงสาวต้องระหกระเหินกับลูกไปตามลำพัง และหลายครั้งที่เธอมักได้ไมตรีจิตจากผู้หญิงด้วยกัน ขณะที่ฝั่งฝ่ายผู้ชายกลายเป็นพวกกระทำการก้าวร้าวเสียมากกว่า
ในช่วงเวลาที่ฝนถล่มโลก จนเกิดน้ำท่วมหนักอย่างเฉียบพลัน เมื่ออาหารเริ่มขาดแคลน การแย่งชิงก็เกิดขึ้น ทุกคนที่ยังเหลือชีวิตก็จำเป็นต้องเอาตัวให้รอด การหาที่พักพิงกลายเป็นสิ่งยากลำบาก คำว่า ‘บ้าน’ ที่เคยมีตอนนี้ขาดวิ่น มันมีความหมายอย่างน้อยสองอย่าง หนึ่งคือ ที่อยู่อาศัยที่ตอนนี้ไม่อาจใช้อยู่อาศัย ทำได้แค่หนีออกมาชั่วคราว กับอีกหนึ่งความหมาย ‘บ้าน’ ก็คือ ครอบครัว ความสิ้นหวังพาหัวใจพังทะลาย บางคนเลือกจบชีวิต บางคนก็เลือกเสียสละให้คนที่รักได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าตน แต่ไม่ว่ายังไง ความโหยหา ‘บ้าน’ ก็ยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
หนังมุ่งเน้นชีวิตของหญิงเพศแม่เป็นหลัก บทเดินตามตัวละครของ โจดี้ โคเมอร์ เธอโอบอุ้มเด็กน้อยที่เติบโตไปพร้อมๆ กับเส้นผมของเธอที่ยาวขึ้นตลอดเวลา บทพาเธอไปอยู่ในหลายสถานที่และผู้คน รับมือกับความขัดแย้งทั้งภายนอกและภายใน ท่ามกลางความสิ้นหวังที่ประเดประดังเข้ามาไม่หยุด แต่เธอก็ยังไม่หยุดหวัง ยังคงมองเห็นเขาในทุกที่ทุกเวลา และโจดี้ก็ทำหน้าที่ถ่ายทอดมันได้ดีทั้งสีหน้า แววตา และการกระทำ ราวกับบทนี้เขียนมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ
ขณะเดียวกัน การดำเนินไปของหนังก็ดูเหมือนกราฟที่ราบเรียบตลอดทาง แม้จะมีฉากระทึกขวัญแทรกเข้ามาบ้าง แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเส้นกราฟมากนัก นอกจากการแสดงของโคดี้ หนังก็ยังมีดีตรงงานภาพในหลายๆ ฉากที่ออกมาดีเยี่ยม เช่นเดียวกับงานดนตรีประกอบที่ค่อนข้างส่งเสริมบีบคั้นอารมณ์
แต่หนังก็ยังมีอีกสิ่งที่น่าสนใจ เพราะเขาเฟ้นเอานักแสดงที่มีชื่อเสียงมาร่วมงานไว้หลายคน ไม่ว่าจะเป็น Mark Strong (กัปตันสมิธ ในหนัง ‘1917’) , Benedict Cumberbatch (ผู้แสดงเป็นอลัน ทัวริ่ง ในหนัง ‘The Imitation Game’) และ Katherine Waterston (ผู้แสดงเป็นทีน่า ในหนัง ‘Fantastic Beasts and Where to Find Them’) ทำให้คนที่ไม่รู้รายชื่อนักแสดงได้อึ้งกันไปได้บ้าง
โดยรวมแล้ว มันคือหนังหายนะบวกหนังเอาตัวรอด เน้นแนวทางดราม่าและมีระทึกขวัญแทรกเข้ามาเป็นช่วงๆ โดยใช้ตัวละครเพศหญิงที่เพิ่งคลอดลูกไปหมาดๆ เป็นตัวเดินเรื่อง บอกเล่าความสิ้นหวังท่ามกลางความลำบากตรากตรำ แต่ก็ส่งสารบอกคนดูว่า มันยังคงมีความหวังท่ามกลางความสิ้นหวังอยู่เสมอ
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | The End We Start From / อุ้มลูกฝ่าวิปโยค |
กำกับ | Mahalia Belo (ผู้ได้รับรางวัล BAFTA Awards ในสาขา Breakthrough Talent จากหนังเรื่อง ‘Ellen’) |
เขียนบท | Alice Birch (ดัดแปลงจากหนังสือของ Megan Hunter) |
แสดงนำ | Jodie Comer, Benedict Cumberbatch, Joel Fry, Mark Strong, Gina McKee, Ramanique Ahluwalia Elena Bielova, Shiona Brown |
แนว/ประเภท | ดราม่า, ระทึกขวัญ |
เรท | R |
ความยาว | 102 นาที |
ปี | 2023 |
สัญชาติ | สหราชอาณาจักร |
เข้าฉายในไทย | 25 มกราคม 2024 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | Anton, BBC Film, BFI Film Fund, C2 Motion Picture Group, Hera Pictures, SunnyMarch, Mongkol Major |
คะแนนรีวิวหนัง อุ้มลูกฝ่าวิปโยค
พล็อตและบท - 6.5
การแสดง - 8
การดำเนินเรื่อง - 6.5
เพลงและดนตรีประกอบ - 7
งานถ่ายภาพ และโปรดักชัน - 7.5
7.1
The End We Start From
นี่คือหนังที่บอกเล่าการเอาตัวรอดในวิกฤติอย่างเหตุฝนถล่มเมือง ผ่านตัวละครหลักอย่างแม่มือใหม่ที่ต้องระหกระเหินกับลูกน้อยตามลำพัง ท่ามกลางเหตุภัยพิบัติและสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ที่ต้องการเอาตัวรอด เล่าเรื่องที่ทำให้เธอพบเจอแต่ความสิ้นหวัง แต่มันก็บอกเล่าว่า โลกก็ยังไม่ได้ใจร้ายเกินไปนัก ท่ามกลางความสิ้นหวังก็ยังคงมีหวังอยู่ และบ้านที่หมายถึงครอบครัวก็ยังคงเป็นความหวังนั้น หนังถ่ายสวยในหลายจุด ดนตรีประกอบก็ส่งเสริมอารมณ์ได้ดี มีนักแสดงคุ้นหน้าหลายคน แต่โจดี้ โคเมอร์ คือนักแสดงที่โชว์ฝีมือได้โดดเด่นเช่นเคย