ในวันที่โลกยังคงวุ่นวายใจอยู่กับวิกฤติโรคระบาดอย่างโควิด-19 ไม่จบไม่สิ้น วันนี้ ผมก็ได้ไปพบกับหนังสารคดีเรื่องใหม่ที่เล่าเรื่องของสโมสรฟุตบอลที่ไขว่คว้าหาแชมป์พรีเมียร์ลีกมา 30 ปีในที่สุดก็ทำสำเร็จ แต่ก่อนที่จะมาถึงวันนี้ พวกเขาผ่านอะไรมาบ้าง ภาพยนตร์อย่าง ‘The End of the Storm’ จะมาเฉลย
โควิดที่ยังอยู่กับเราในวันนี้ เชื่อไหมว่า อุปสรรคหนึ่งในการคว้าแชมป์ของลิเวอร์พูลก็คือ โควิด1-19 นี่แหละครับ
เหตุการณ์ในหนังที่เล่าถึงพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่แล้ว (2019/20) ทำให้เรายิ่งรู้สึกว่า โรคระบาดนี้มันอยู่กับเรามานานเป็นปีแล้วนะ แถมยังกลายพันธุ์ไปได้เรื่อยๆ อีก ท่าทางเราจะต้องอยู่กับมันไปอีกนาน แต่การเชียร์ฟุตบอลทีมโปรดก็ไม่ต่างกัน มันต้องอยู่กับเราไปอีกนานแหละ
เรื่องย่อหนัง The End of the Storm
สารคดีที่ว่าด้วยประวัติแบบย่นย่อของทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทีมหนึ่งของโลก ลิเวอร์พูล ที่ก่อตั้งมายาวนาน ผ่านมาทั้งดีและร้าย โดยเฉพาะช่วงเวลาของความเกรียงไกรและรุ่งเรืองที่ได้ผ่านพ้นไปนาน โดยเฉพาะแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ไม่อาจคว้าได้มานานถึง 30 ปี
จนในวันที่ทีมโปรดของแฟนหงส์แดงได้มีผู้จัดการทีมเป็น เจอร์เกน คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรไปหลายต่อหลายอย่าง และเขาก็เป็นกำลังสำคัญที่พาทีมนี้ก้าวขึ้นรับถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้งในฤดูกาล 2019/20
หนังสารคดีที่จะพาคุณไปย้อนเวลารู้จักกับอดีตของสโมสรชื่อดังแห่งนี้ พร้อมนำคุณเข้าสู่ฤดูกาลประวัติศาสตร์ที่ลิเวอร์พูลต้องฝ่ามรสุมลมแรงต่างๆ นานา จนกว่าจะเอาชนะทุกอย่าง ผ่านภาพเหตุการณ์ คำสัมภาษณ์ และความรู้สึกของเหล่าแฟนคลับจากหลากหลายมุมของโลก
โดยชื่อของหนังหยิบมาจากส่วนหนึ่งของเนื้อเพลง You’ll Never Walk Alone นั่นเอง
รีวิวหนังสารคดี ‘ดิ เอนด์ ออฟ เดอะ สตอร์ม’
Trent Alexander-Arnold, Alisson Becker, Kenny Dalglish, Jordan Henderson, Virgil van Dijk, Alex Oxlade-Chamberlain, Sadio Mané และ Roberto Firmino
ในฐานะที่ไม่ใช่แฟนหงส์ ผมอาจจะไม่รู้จักมักจี่กับรายชื่อผู้เล่นเหล่านี้สักเท่าไหร่ แต่สำหรับแฟนตัวยงที่ตามเชียร์ลิเวอร์พูลทีมนี้มาเนิ่นนาน ย่อมจะรู้จักพวกเขาดี หลายคนเพิ่งมาใหม่ หลายคนก็อยู่มานาน แต่นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของนักเตะที่นำพาความสำเร็จบนเส้นทางลูกหนังบนเกาะอังกฤษให้กับสโมสรที่เขาสังกัด และเรื่องราวของพวกเขาจะถูกเล่าในหนังเรื่องนี้
เจอร์เกน คล็อปป์, ดาวดัง และแฟนคลับ
ตัวหนังขับเคลื่อนด้วยบทสัมภาษณ์ของกุนซือและผู้จัดการทีมอย่าง Jürgen Klopp/เจอร์เกน คล็อปป์ คนที่เข้ามาเป็นจุดเปลี่ยนของลิเวอร์พูล เราอาจได้เห็นเขาในสนามที่ดูคล้ายเป็นคนเกรี้ยวกราด แต่เมื่อเจอในหนัง เขาเป็นคนที่พูดจาได้น่าฟังคนหนึ่งนะ มีสกิลหลายหลาก จะเล่นมุกก็ได้ จะเล่าเรื่องจริงจังก็เป็น พูดจาน่าเชื่อถือ ว่างั้นเถอะ แล้วในหนังก็ถามหลายมุมมากๆ เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว ความคิดและปรัชญาในการทำทีม และอีกหลายอย่างจิปาถะ
นอกเหนือจากกุนซือ หนังก็จะสลับไปถามไถ่เหล่านักเตะดังๆ ที่เข้ามาอยู่ในทีม ไม่ว่าจะเป็นกัปตันอย่าง Jordan Henderson/จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ประตูชาวบราซิลอย่าง Alisson Becker/อาลีซง แบเกร์ อีกคนที่จะขาดไปไม่ได้ เขาคือคนสำคัญที่ช่วยปลุกเร้าเพื่อนร่วมทีม Virgil van Dijk/เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค คนโน้นคนนี้คนนั้น และที่ขาดไม่ได้ก็ต้องเป็น Kenny Dalglish/เคนนี ดัลกลีช ตำนานของทีมที่กลับมาร่วมเป็นผู้ร่วมผลักดันทีมรักให้ก้าวไปข้างหน้า
ไม่พอ ผู้กำกับอย่าง James Erskine/เจมส์ เออร์สคีน ก็ยังเลือกตัวแทนของแฟนคลับจากหลากหลายชาติให้เข้ามาบอกเล่าความรู้สึกและมีส่วนร่วมไปกับเรื่องราว
ตลอด 99 นาที พวกเขาทั้งหมดนี้จะปรากฏตัวสลับกันไป ทำให้เรื่องราวมันหลากหลาย เต็มไปด้วยอารมณ์ และปราศจากความน่าเบื่อ
ซับไตเติลไทยโดนใจคอบอล
องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องถูกใจคอบอลก็คือการซับไตเติลที่ใช้ภาษาสไตล์นักข่าวฟุตบอล ถ้อยคำต่างๆ ที่คอบอลคุ้นเคย ทำให้ทุกอย่างไหลลื่น เพลิดเพลิน ไม่ต้องทำความเข้าใจเพิ่ม นัยว่ามันถูกกลั่นกรองมาจากคนที่อยู่ในแวดวงนี้
เดินเรื่องเร้าใจ
แม้โดยรวมหนังสารคดีเรื่องนี้จะเน้นหนักช่วงขวบปี 2019 เป็นหลัก แต่หนังก็ย้อนกลับไปวันเก่าช่วงสั้นๆ ให้คนทั่วไปได้รู้จักประวัติศาสตร์อันยาวนานกันพอเป็นน้ำจิ้ม จากนั้นก็เดินหน้าเต็มสูบ เข้าสู่ช่วงแรกเริ่มของเขากับลิเวอร์พูลทันที
เรื่องราวที่เริ่มต้นด้วยปัญหาที่คล็อปป์ตามแก้ ช่วงแรกที่ทีมยังต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะตัดกลับถึงช่วงเวลาที่พวกเขากำลังไล่ล่าความสำเร็จอย่างสนุกมือ
เป็นหนังสารคดีที่ไม่จำเป็นต้องเด็กหงส์ก็สนุกได้ ไม่ต้องเป็นคอบอลก็เข้าใจเนื้อเรื่อง ด้วยวิธีการการตัดต่อที่กระชับ เรื่องราวเดินไปตลอดไม่มีหยุดนิ่ง สลับภาพไปมาระหว่างการสัมภาษณ์และภาพเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ต่างๆ ผสานด้วยดนตรีประกอบเร้าใจชักชวนให้ฮึกเหิม เพิ่มอารมณ์สนุกจนผมอาจลืมไปว่าตัวเองไม่ได้เป็นแฟนลิเวอร์พูล การเดินเรื่องลื่นไหล ใส่เทคนิคภาพที่ไม่ชวนรู้สึกเบื่อ ผสมกับฟุตเทจที่อาจจะไม่ค่อยมีคนทั่วไปได้เห็น ผสานกับคำพูดดีๆ ของคล็อปป์ ทำให้เรารู้สึกว่า
ถ้าทีมเรามีหนังสารคดีแบบนี้ในขวบปีนี้บ้างก็คงจะดี
ผ่านความกดดัน อดทนพ้นอุปสรรค พบเจอความสำเร็จ
เราได้เห็นในทุกแง่มุมของผู้จัดการทีม นักเตะและแฟนคลับ โดยเฉพาะผู้จัดการทีม ที่นำหลายอย่างมาเปลี่ยนแปลงทีม โดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวกับจิตใจ วิธีการใหม่ที่ใช้แล้วได้ผล ทำให้ลูกทีมกลับมาฮึกเหิม สู้ด้วยใจมุ่งมั่น ไม่กลัวไม่กดดัน ปรัชญาบางอย่างที่น่าจดจำ
สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของสารคดีเรื่องนี้ก็คือ การเดินเรื่องที่เร็วและไม่เน้นดราม่า แม้แต่การเล่าถึงช่วงเวลาหนึ่งที่ทีมและทุกที่ทั่วโลกต้องประสบกับปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 จนทำให้โปรแกรมการแข่งขันในปีก่อนนั้นต้องหยุดชะงัก และทีมจ่าฝูงอย่างลิเวอร์พูลต้องเคว้างคว้างท่ามกลางหลายเสียงที่ต้องการให้เป็นโมฆะ ซึ่งจะทำให้มันกลายเป็นฤดูที่พวกเขาลงแรงไปอย่างสูญเปล่าทันที
อย่างไรก็ดี ต่อให้หนังสร้างมาให้คนทั่วไปที่ไม่ใช่แฟนคลับของลิเวอร์พูลได้รู้สึกร่วมไปกับมัน ผมก็ยังเชื่อว่า หนังสารคดีเรื่องนี้น่าจะเป็นแฟนหงส์ที่จะอินกับมันมากที่สุดอยู่ดี
ปิดท้ายหนัง ได้ยินเพลง ‘You’ll Never Walk Alone’ ที่ Lana Del Rey ร้องไว้ใหม่ เพราะใสกังวานมาก ช่วงสุดท้ายที่จอขึ้นเครดิต ยังไม่ใช่เวลาของการลุกจากเก้าอี้
ยังมีบางส่วนที่แฟนหงส์ต้องดูให้จบ
ชื่อภาพยนตร์: The End of the Storm
ผู้กำกับภาพยนตร์: James Erskine/เจมส์ เออร์สคีน (เจ้าของผลงานหนังสารคดี ‘Billie’)
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: James Erskine/เจมส์ เออร์สคีน
นักแสดง: Trent Alexander-Arnold, Alisson Becker, Kenny Dalglish, Jordan Henderson, Jürgen Klopp, Virgil van Dijk, Alex Oxlade-Chamberlain, Sadio Mane
ดนตรีประกอบ: Kle Savidge
แนว/ประเภท: Documentary, Sport
ความยาว: 99 นาที
ปี: 2020
อัตราส่วนภาพ:
เรท: ไทย/-, USA/-
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 28 มกราคม 2021
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย/สตูดิโอ: New Black Films
ดิ เอนด์ ออฟ เดอะ สตอร์ม
พล็อตและบท - 8
การดำเนินเรื่อง - 8.8
ดนตรีประกอบ - 8.8
งานถ่ายภาพ - 7.3
8.2
The End of the Storm
ภาพยนตร์สารคดีแห่งการเฉลิมฉลองฤดูกาลที่สุดยอดทีมกับสุดยอดผลงานมาเจอกัน ความสำเร็จในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกที่รอคอยมานาน 30 ปีของลิเวอร์พูล ใช้การสัมภาษณ์ทั้งกุนซือ นักเตะและแฟนคลับ สลับกับภาพเหตุการณ์ในและนอกสนาม ผสมกับฟุตเทจที่ไม่เคยเห็นจากไหน แฟนคลับลิเวอร์พูลได้เต็มอิ่มอย่างแน่นอน ขณะที่ไม่ใช่แฟนหงส์ก็สนุกกับหนังได้เช่นกัน