วันนี้เป็นวันแรกที่ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของ พัคชินฮเย ฉายในบริการของเน็ตฟลิกซ์ ในฐานะของคนที่ชื่นชอบในหน้าตาและผลงานของเธอ ย่อมจะอดใจไม่ได้ ต้องรีบดูตั้งแต่คืนแรก เรื่องราวของการเอาตัวรอดและแก้ไขสถานการณ์ผ่านการคุยโทรศัพท์กับคนในอดีต ‘The Call’ หรือชื่อไทย ‘สายตรงต่ออดีต’ นั่นเอง
ในระยะหลัง เรามักจะได้ชมผลงานของน้องผ่านทางแพล็ตฟอร์มออนไลน์ อย่างเรื่องก่อน ‘#Alive’ หนังแอคชันซอมบี้ที่เล่าเรื่องในอพารต์เมนต์ มาคราวนี้ หนังปี 2020 จากเกาหลีใต้ก็ยังได้ดูกันผ่านทางออนไลน์ กับผลงานหนังยาวเรื่องแรกของผู้กำกับ Lee Choong Hyun/อีชุงฮยอน หนังถูกเลื่อนโปรแกรมหลายหนเพราะวิกฤติโควิด-19 ระบาด จนสุดท้ายก็มาจบตรงที่ฉายทาง Netflix
คราวนี้ หันมาทางหนังสไตล์ทริลเลอร์ ที่พาคนดูระทึกไปกับการลุ้นไปลุ้นมาของคนในปัจจุบันกับคนในอดีต เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า เรื่องราวมันเป็นมายังไง
เรื่องย่อหนัง ‘The Call’
ซอยอน (Park Shin Hye/พัคชินฮเย จากหนัง ‘#Alive’ ซีรีส์ ‘Doctors’, ‘Memories of the Alhambra’ และ ‘Pinocchio’) หญิงสาวกำพร้าพ่อและไม่ค่อยถูกกับแม่นัก เธอเดินทางมายังบ้านหลังเก่า ก่อนจะได้พบกับเหตุอันเหลือเชื่อผ่านทางสายโทรศัพท์
เมื่อจู่ๆ เธอก็ได้คุยโทรศัพท์กับคนในอดีต คนๆ นั้นอยู่ในบ้านหลังเดียวกันนี้ และทุกครั้งที่ต่อสายก็จะติดสายของกันและกันเสมอ ปลายสายเป็น ยองซุก (Jun Jong Seo/จอนจงซอ จากหนัง ‘Burning’) หญิงที่ดูไม่ค่อยปกติ เธอเป็นลูกสาวของหมอผีที่ตายไปแล้ว และอาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงคนหนึ่ง แต่มันไม่ใช่แค่นั้น
เพราะเวลาของยองซุกนั้นคืออดีตเป็น 20 ปีก่อน ขณะที่ซอยอนอยู่ในโลกปัจจุบัน
สิ่งที่ไม่ควรเปลี่ยน กลับเปลี่ยนแปลง เมื่อคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงอดีตให้ได้ แต่กลับเป็นคนที่มีความวิปริตในจิตใจ และที่แท้แล้ว เธอคือฆาตกรต่อเนื่องนาม ‘โอยองซุก’ ในอดีตนั่นเอง
สุดท้าย กลายเป็นว่าเธอต้องพยายามสุดกำลังเพื่อไม่ให้ต้องสูญเสียทุกอย่างที่รักไป
รีวิวหนัง ‘สายตรงต่ออดีต’
เป็นหนังแนวระทึกขวัญที่เล่นกับเรื่องของเวลา นางเอกในเวลาปัจจุบัน ปี 2019 แต่ดันติดต่อกับคนปลายสายที่เคยอยู่บ้านนี้เมื่อ 20 ปีก่อนผ่านทางสายโทรศัพท์
นางเอก ซอยอน คือสาวที่กำพร้าพ่อไปเพราะอุบัติเหตุทางอัคคีภัย เหลือเพียงแค่แม่ที่เธอมองเป็นตัวการที่ทำให้เธอต้องสูญเสียพ่อ ดังนั้น การที่ได้รู้ว่าปลายสายคือคนในอดีตผู้เคยอยู่ในบ้านหลังนี้จึงกลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเธอไปในทันที
เมื่อซอยอนได้รับการช่วยเหลือจากยองซุก จนทำให้พ่อเธอกลับมามีชีวิตอยู่อีกครั้ง เพราะการแก้ไขอดีตซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะไปเปลี่ยนแปลง เพื่อตอบแทนในสิ่งที่ซองยุกทำให้ เธอเองก็เลยช่วยส่งเพลงของศิลปินที่เธอชื่นชอบไปให้ฟัง กลายเป็นว่าต่างคนต่างตอบแทนกัน แต่ก็ทำให้ซอยอนถูกผูกติดกับยองซุกไปโดยปริยาย
ลุ้นระทึกดี แต่ก็มีไม่สมจริงบ้าง
เมื่อปลายสายคือ สาวที่มีสภาพจิตไม่ปกติ ไม่พอ ในเวลานั้นเธอยังอยู่บ้านนี้กับแม่เลี้ยงที่ใจร้ายสุดๆ และซอยอนกลายเป็นทางรอดของเธอ ด้วยความซื่อบื้อหรืออะไรสักอย่างที่ทำให้ซอยอนเข้าตาจน จำเป็นต้องทำตามคำขอแกมบังคับของเธอ ที่สุดท้าย กลายเป็นว่าซอยอนต้องดิ้นรนเพื่อไม่ให้ต้องสูญเสียแม้กระทั่งชีวิตตัวเอง
เรื่องราวที่มีเงื่อนงำน่าสนใจ ชวนระทึกติดตามต่อ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตจะส่งผลต่อปัจจุบัน ขณะเดียวกัน คนในปัจจุบันก็สามารถรู้เหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นไปแล้วได้
ตัวละครก็นับว่าเก่งกาจ รู้จักใช้สมองคิดหาวิธีการต่างๆ เพื่อเอาตัวรอด ทั้งหนังก็พยายามดำเนินให้เรื่องมันเคลื่อนไปอยู่ตลอด เวลาทั้งสองช่วงที่เดินไปพร้อมกัน หนังใช้การตัดสลับให้คนดูร่วมลุ้นว่ามันจะลงเอยตรงที่ใด ไม่มีส่วนไหนที่น่าเบื่อ
เช่นเดียวกับการได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวละครตัวหนึ่ง
สาวสภาพจิตไม่ปกติที่ต่อมาจะต้องกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่อง เธอจึงเป็นตัวอันตราย เมื่อเจอกับปลายสายที่เป็นสาวที่อ่อนไหวและไม่ทันคน จึงกลายเป็นการสร้างบ่วงให้ตัวเองต้องติดกับ
แต่หนังก็มีหลายจุดที่ดูไม่น่าเชื่อหรือไม่สมเหตุผลสักเท่าไหร่นัก บางจุด เราอาจคิดว่ามันต้องเป็นอย่างนี้แน่เลย แต่มันก็ไม่ได้เป็นเพราะหนังเลือกจะเล่าจากมุมของซอยอน บ้างก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะๆ ต่อหน้าต่อตา แต่กลับเป็นว่า หนังพยายามจะโชว์ซีจีจนเรื่องราวดูไม่สมจริง แม้แต่การสังหารจนมีศพอยู่ในบ้านก็ยังไร้กลิ่นจนกระทั่งตำรวจมาเยือนก็ยังไม่ได้กลิ่น
แต่ถึงอย่างนั้น ในช่วงครึ่งหลังของหนังก็นับได้ว่าน่าลุ้นระทึกอยู่
พัคชินฮเย กับ จอนจงซอ
พัคชินฮเยในเรื่องนี้ เราจะได้เห็นลุคในแบบผมสั้นที่ก็น่ารักไปอีกแบบ ทั้งยังได้เห็นทั้งในลุคผมยาวด้วย เธอได้แสดงในบทบาทที่เกรี้ยวกราดที่อาจไม่คุ้นเคยจากที่เคยเจอในซีรีส์ต่างๆ แต่บทบาทในมุมดราม่าเรียกน้ำตา ชินฮเยก็ทำได้เยี่ยมยอด เล่นเอาน้ำตาซึมตามไปด้วยเลย
ขณะที่จอนจงซอ เรื่องนี้ เธอได้เล่นเป็นหญิงสาวที่ออกอาการโรคจิตเลยมีโอกาสได้แสดงความสามารถมากหน่อย เธอค่อยๆ เปลี่ยนจากคนมีสภาพจิตอ่อนๆ กลายเป็นหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จากการมีแม่เลี้ยงที่ดูร้ายๆ แถมเล่นของอีก สุดท้ายเธอเลยกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่อง
เธอเล่นได้ร้ายและบ้าถึงดีเลยแหละ
นอกเหนือจากสองตัวนี้แล้ว เราก็คงจะได้พบกับนักแสดงที่คุ้นหน้าคุ้นตาที่เคยมีผลงานในซีรีส์เกาหลีอีก ไม่ว่าจะเป็น Oh Jeong Se/โอจองเซ เขาคือมูนซังแทที่เคยคุ้นในซีรีส์เรื่อง ‘It’s Okay to Not Be Okay’ ส่วนอีกคนก็ Park Ho San/พัคโฮซัน เขาเคยเล่นทั้งซีรีส์ ‘Prison Playbook’ และ ‘My Mister’ พอเจอสองคนนี้แล้วต้องร้องอ๋อขึ้นมาทันที
โดยรวมก็ถือได้ว่าไม่เลวเลยแหละสำหรับหนังเรื่องนี้ นอกจากดำเนินเรื่องได้ชวนติดตามแล้ว ซีจีการจัดฉากและการเก็บรายละเอียดต่างๆ ก็เป็นส่วนสำคัญ รวมไปถึงเพลงประกอบที่เป็นแนวร็อกมันๆ แรงๆ ก็ส่งเสริมภาพลักษณ์ของสาวโรคจิตได้เป็นอย่างดี
แม้แต่ตอนจบก็ยังมีอะไรให้ต้องคิดตาม
ภาพยนตร์เรื่อง: The Call / Call / สายตรงต่ออดีต
ผู้กำกับภาพยนตร์: Lee Chung Hyun
ผู้เขียนบท: Lee Chung Hyun
นักแสดงนำ: Park Shin Hye/พัคชินฮเย, Oh Jeong Se/โอจองเซ, Jun Jong Seo/จอนจงซอ, Kim Sung Ryung/คิมซองรยอง, Park Ho San/พัคโฮซัน
ดนตรีประกอบ:
ความยาว: 112 นาที
ปี: 2020
แนว/ประเภท: Thriller
อัตราส่วนภาพ:
ประเทศ: เกาหลีใต้
เรท: ไทย/-, MPAA/-
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 27 พฤศจิกายน 2020
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Yong Film, Next Entertainment World
สายตรงต่ออดีต
บทและพล็อต - 7.8
การแสดง - 8
เพลง/ดนตรีประกอบ - 7.5
การดำเนินเรื่อง - 8.1
งานภาพ - 7.8
7.8
The Call
เรื่องราวของตัวละครที่อยู่กันคนละช่วงเวลาแต่เป็นสถานที่เดียวกัน และติดต่อกันได้ทางโทรศัพท์บ้าน ลุ้นระทึกกันพอสมควรทีเดียว กับเรื่องที่พลิกไปพลิกมารวดเร็วจนไม่ทันคาดเดา แม้จะมีบางจุดที่ชวนตะขิดตะขวงในความสมเหตุผลบ้าง แต่โดยรวมก็ถือเป็นหนังใน Netflix ที่ดูสนุกตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆ