
เอาจริง ๆ มันนานมากแล้วนะ ที่ได้เห็นหนังบอกเล่าตัวละครนำเป็นสถาปนิกแบบนี้‘The Brutalist’ หรือชื่อไทย ‘เดอะ บรูทัลลิสต์‘ พาเราไปรู้จักกับ ลาซโล ทอธ ชายผู้ที่ย้ายตัวเองหนีภัยสงครามจากยุโรปมายังอเมริกา ทว่า การดิ้นรนของเขาก็ไม่เคยจบ เพราะอเมริกันดรีมอาจไม่ใช่อย่างที่ใครเคยวาดฝัน และสถาปัตยกรรมคือสิ่งที่เขาหวังจะใช้เพื่อบ่งบอกตัวตน
คิดเห็นเช่นไรหลังชมหนังชิงออสการ์เรื่องนี้?
เหมือนเป็นหนังที่เปิดให้เราได้รู้จักกับโลกสถาปัตยกรรมสมัยโน้น หนังที่เล่าด้วยงานภาพชวนทึ่ง ทั้งสวยงาม น่าตื่นตา บวกกับดนตรีประกอบที่ชวนว้าว กับเรื่องราวของสถาปนิกยิวหนุ่มวิสัยทัศน์ไกลผู้ระหกระเหินขึ้นฝั่งมาอาศัยยังสหรัฐอเมริกา ทำงานเพื่อรอวันภรรยาและหลานสาวข้ามน้ำข้ามทะเลตามมาถึง ก่อนเจอกับเศรษฐีผู้ว่าจ้างสร้างสถาปัตยกรรมสุดยิ่งใหญ่ หนังยาว 3 ชั่วโมงกว่าที่แบ่งพักครึ่งเอาไว้ให้ ประสบการณ์แปลกใหม่ กับการประชันลีลาของ 3 นำแสดงนำชนิดกินกันไม่ลง
แม้มันจะบอกเล่าความปวดร้าว แต่ก็ไม่ได้หนักหน่วง แค่ร้าวยาวไปจนถึงตอนจบ ก็เท่านั้นเอง
เรื่องย่อหนัง ‘The Brutalist’
ลาซโล ทอธ (Adrien Brody จากหนังเรื่อง ‘Asteroid City’) คือสถาปนิกชาวยิวผู้มีวิสัยทัศน์และชายผู้ระหกระเหินข้ามน้ำข้ามทะลหนีสงครามจากยุโรปช่วงปี 1947 มาโผล่ยังสหรัฐอเมริกา เขาได้พบกับ อัตติลา (Alessandro Nivola) ลูกพี่ลูกน้องที่ตั้งรกรากอยู่กับภรรยาที่นั่น จึงได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการทำงานช่วยเหลือร้านขายเฟอร์นิเจอร์ ระหว่างนั้นก็รอคอ แอร์เฌแบ็ต (Felicity Jones จากหนังเรื่อง ‘Like Crazy’) และหลานสาว (Raffey Cassidy) ที่ยังคงรอดชีวิตอยู่และกำลังพยายามเดินทางข้ามมาอย่างใจจดจ่อ
แต่ชีวิตบนแผ่นดินอเมริกาของเขาหักเหมากขึ้นในวันที่กลายเป็นแค่คนงานเหมืองขุดถ่ายหินในฟิลาเดลเฟีย เมื่อเขาได้เจอกับ แฮร์ริสัน ลี แวน บิวเรน (Guy Pearce จากหนังเรื่อง ‘Alien: Covenant’) ผู้มองเห็นความสามารถของลาสโล จึงชักชวนมาสร้างสรรค์งานชิ้นใหญ่ที่จะกลายเป็นปรากฏการณ์อีกครั้ง แต่ทุกอย่างไม่ง่ายดายอย่างที่คิด และชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปมากมายหลังจากได้พบและร่วมงานกับชายผู้มั่งคั่งคนนี้
รีวิวหนัง ‘เดอะ บรูทัลลิสต์’
บอกตัวเองได้เลยว่า มันเป็นหนังที่ใส่ความเป็นสถาปนิกไว้ตั้งแต่แรกเริ่มจนหนังจบ เอาแต่ไตเติลที่โผล่ขึ้นก็แตกต่างจากใครแล้ว ไปเจอเครดิตปิดท้ายอีก ทั้งยังมีความเก่าตามเวลาในหนังอีก นานมากแล้วเช่นกันกว่าจะได้พบกับหนังสักเรื่องที่เล่าให้ตัวนำเป็นสถาปนิก สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงนี้ อาจจะไม่รู้จักกับชื่อ ลาซโล ทอธ (László Tóth) แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหา เราเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ เราก็จะรู้จักเขาเอง
ชีวิตที่ต้องดิ้นรนเอาตัวให้รอดจากสงครามในยุโรป พาให้เขาได้มาอยู่ประเทศใหม่และต้องห่างไกลจากภรรยาผู้เป็นที่รัก
เมื่อลาสโล ทอธ ย้ายตัวเองเข้าไปอยู่ในอเมริกา เขาจึงได้สัมผัสกับยุคสร้างชาติของแผ่นดินใหม่ แรกเริ่มก็ดูหอมหวานน่าอิ่มอกอิ่มใจ แต่เมื่ออยู่ ๆ ไป ก็ดูเหมือนบางสิ่งชวนหวั่นว่ามันจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเห็นในตอนแรก สิ่งที่เขาจะทำได้คงเป็นการใช้ทักษะความสามารถที่มีเพื่อทำมาหากิน สร้างรายได้ตามที่มีคนจ้าง และขณะเดียวกันก็ใช้มันถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดออกไปด้วย
อเมริกันดรีมที่ชวนผู้คนจากทุกมุมโลกเดินทางเข้าไปพร้อมความฝันที่จะก่อร่างทุกสิ่งและสร้างสรรค์ความสำเร็จนั้น อาจเป็นเพียงคำพูดที่ผลักพาให้แมงเม่าบินเข้ากองไฟ เมื่อได้มาสัมผัสของจริงเท่านั้นแหละ ก็จะพบว่า มันไม่ได้สวยหรูอย่างที่วาดฝัน หากมีความโหดร้ายซ่อนอยู่ ไม่ต่างจากวิถีบรูทัลลิสต์ที่ลาสโลถ่ายทอดมันออกไปแต่อย่างใด ชิ้นงานของเขานั้นไม่ได้ดูสวยงามน่าหลงใหล หากมันดูแข็งกร้าว เรียบง่ายแต่ไม่ประนีประนอม เช่นเดียวกับที่เราทุกช่วงเวลาของการทำงาน เขาไม่เคยยอมลดทอนสิ่งใดที่ได้ถูกออกแบบไว้ก่อนหน้า เขายอมทำทุกทางเพื่อให้ผลงานออกมาตรงตามที่ออกแบบไว้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เรื่องราวข้างในก็เช่นกัน มันสะท้อนเรื่องของภัยร้ายแห่งสงครามและความแตกต่างทางชนชาติ ทั้งใช้สถาปัตยกรรมเพื่อสะท้อนสิ่งเหล่านั้นออกมา
หนังเรื่องนี้ เต็มไปด้วยงานภาพที่สวยจนชวนอึ้ง ถ่ายทอดช่วงเวลาของวันเก่า ผสมผสานเสียงดนตรีประกอบที่พารู้สึกโอ่อ่าและโอ้อวดอยู่ในที พาให้เป็นหนังสร้างอารมณ์พิเศษระหว่างดู
แต่ขณะเดียวกัน ความยาวของมันก็เป็นอุปสรรคพอประมาณสำหรับคนที่เตรียมตัวไม่พร้อม บางส่วนของหนังค่อนข้างยืดยาว แม้จะยังเป็นสิ่งที่ควรมี บางส่วนเป็นเสียงบรรยายที่ค่อนข้างโมโนโทน การพักผ่อนมาก่อนอย่างเพียงพอจะช่วยได้มาก แต่หนังก็เตรียม intermission ไว้ให้ ผู้ชมสำหรับลุกเดินไปเข้าห้องน้ำและยืดเส้นยืดสายได้ด้วยเช่นกัน
ถ้าจะมองถึงบทบาทการแสดงแล้ว ทั้ง เอเดรียน โบรดี้, เฟลิซิตี้ โจนส์ และ กาย เพียร์ซ ต่างก็ทำหน้าที่ของตนได้โดดเด่นอย่างไม่มีตกหล่น แม้อันดับหนึ่งในใจจะยกให้โบรดี้ไปแล้วก็ตาม ในฐานะของคนที่ไม่ได้รู้จักกับ ลาซโล ทอธ มาก่อน นี่คือครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับเรื่องราวที่ชวนปวดร้าวสะเทือนใจของสถาปนิกจากแดนไกลคนนี้
สุดท้าย หนังที่ยาว 3 ชั่วโมงเรื่องนี้ เข้าชิง 10 ออสการ์ จะได้มากี่ตัวก็แล้วแต่ แต่ของมันดีสมมงก็ถือว่าเยี่ยมยิ่งแล้ว
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | The Brutalist / เดอะ บรูทัลลิสต์ |
กำกับ | Brady Corbet |
เขียนบท | Brady Corbet, Mona Fastvold |
แสดงนำ | Adrien Brody, Felicity Jones, Guy Pearce, Joe Alwyn, Raffey Cassidy |
แนว/ประเภท | ดราม่า |
เรท | R |
ความยาว | 214 นาที |
ปี | 2024 |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, แคนาดา |
เข้าฉายในไทย | 27 กุมภาพันธ์ 2025 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | Brookstreet Pictures, Kaplan Morrison, Intake Films |
คะแนนรีวิวหนัง เดอะ บรูทัลลิสต์
พล็อตและบท - 8
การแสดง - 9
การดำเนินเรื่อง - 8.5
งานภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชั่น - 9.5
เพลงและดนตรีประกอบ - 9
8.8
The Brutalist
เหมือนเป็นหนังที่เปิดให้เราได้รู้จักกับโลกสถาปัตยกรรมสมัยโน้น หนังที่เล่าด้วยงานภาพชวนทึ่ง ทั้งสวยงาม น่าตื่นตา บวกกับดนตรีประกอบที่ชวนว้าว กับเรื่องราวของสถาปนิกยิวหนุ่มวิสัยทัศน์ไกลที่ระหกระเหินขึ้นฝั่งมาอยู่สหรัฐอเมริกา ทำงานเพื่อรอวันภรรยาและหลานสาวข้ามน้ำข้ามทะเลตามมา ก่อนเจอกับเศรษฐีผู้ว่าจ้างสร้างสถาปัตยกรรมสุดยิ่งใหญ่ หนังยาว 3 ชั่วโมงกว่าที่แบ่งพักครึ่งเอาไว้ให้ ประสบการณ์แปลกใหม่ กับการประชันลีลาของ 3 นำแสดงนำชนิดกินกันไม่ลง แม้มันจะบอกเล่าความปวดร้าว แต่ก็ไม่ได้หนักหน่วง แค่ร้าวยาวไปจนถึงตอนจบ ก็เท่านั้นเอง