รีวิวหนัง Taklee Genesis | ภารกิจพาพ่อกลับมา ข้ามเวลาสุดทะเยอทะยาน

ได้ยินข่าวคราวของหนังใหม่จาก มะเดี่ยว ชูเกียรติ มาหลายเดือนแล้ว ในที่สุด ก็ได้ดูหนังเรื่องนี้เขาสักที ‘Taklee Genesis หรือชื่อไทย ‘ตาคลี เจเนซิส’ (อ้อ ชื่อเดียวกันแหละ) กำลังจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ให้คนไทยได้ชื่นชมภาพยนตร์ไซไฟสุดทะเยอทะยาน ที่มีแรงบันดาลใจมาจากหลากหลายสิ่งที่ผู้กำกับคนเก่งได้พบเจอและเก็บเกี่ยวมา เรื่องราวผจญภัยของหญิงสาวแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องการพาพ่อกลับมา

ความเห็นส่วนตัวของนายแพท

ผู้กำกับมะเดี่ยวพาคนดูเดินทางไปยังขอบเขตของหนังไทยที่ยังไม่เคยไปถึง หยิบประสบการณ์และไอเดียหลากหลายสิ่งมาผสมผสานและขีดเขียนจนกลายเป็นเรื่องราวการเดินทางข้ามเวลาที่เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย ย้อนกลับไปยังอดีตก่อนประวัติศาสตร์และโลกอนาคต ในบริบทที่เป็น “บ้านเรา” ซึ่งไม่เหมือนกับชาติ เล่าเรื่องของคนไทยในชนบทภาคอีสาน ตัวเอกเป็นลูกครึ่งที่มีพ่อเป็นฝรั่ง กับเรื่องเล่าป่าต้องห้ามข้างบ้าน ชายสองคนที่หน้าไม่ได้แก่ไปตามอายุ และเครื่องมือที่พาข้ามเวลาตามหาพ่อ ที่บานปลายเกิดคาดคิด

หนังไซไฟแบบไทยที่เล่นใหญ่เปี่ยมจินตนาการยิ่งกว่าที่เคยเห็น โดดเด่นที่งานซีจี รายละเอียดแน่นแม้อาจสร้างช่องโหว่ กับยังมีปัญหาในหลายจุด แต่ก็ไม่อาจฉุดความทะเยอทะยานให้มอดลงได้

เรื่องย่อหนัง ‘Taklee Genesis’

ย้อนไปไกลถึงช่วงสงครามเวียดนาม กองทัพอเมริกันเคยเข้ามาใช้พื้นที่บ้านเราเพื่อทดลองการเดินทางด้วยความเหนือแสง ในชื่อโปรเจกต์ Taklee Genesis โดยพวกเขาตั้งสถานีสื่อสารขนาดใหญ่ที่ค่ายรามสูร จ.อุดรธานี

ในเวลาปัจจุบัน สเตลล่า หรือที่ทุกคนเรียกว่า หล้า (พอลล่า เทย์เลอร์ จากหนัง ‘บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน (พ่อสอนไว้)’) แม่เลี้ยงเดี่ยวผู้กำลังอยู่ในช่วงที่ชีวิตผกผัน หลังได้รับสายจาก อิษฐ์ (ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล จากหนังเรื่อง ’30 กำลังแจ๋ว’) เพื่อนวัยเด็ก คุณครูผู้ฝันอยากเป็นนักโบราณคดี ที่ขอให้เธอกลับไปดูแล ดวงพร (เจนจิรา  ไวด์เนอร์) แม่ที่ป่วยหนัก

ดอนหาย คือสถานที่ที่พ่อของเธอหายไปในป่าต้องห้ามข้างหมู่บ้าน และไม่มีใครเชื่อคำพูดของเธอ สิ่งที่ยังเหลือไว้ดูต่างหน้าคือ วิทยุเครื่องเก่าและคำพูดทิ้งท้ายที่พ่อได้ให้ไว้

สเตลล่ากลับมาดอนหายพร้อมกับลูกสาว วาเลน (ณัฐชา เจสสิก้า พาโดวัน จากหนังเรื่อง ‘ธี่หยด’) และที่นี่ เธอก็ได้เจอกับ จำนูญ (ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล จากละครโทรทัศน์เรื่อง ‘โลกหมุนรอบเธอ’) หัวหน้าชุมชน และ ก้อง (วอร์ วนรัตน์ รัศมีรัตน์ จากซีรีส์ ‘กลรักรุ่นพี่’) ลูกชายของเขา สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ ผ่านมา 30 ปี หน้าตาของพวกเขากลับไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

หลังจากสเตลล่ากลับมาบ้านที่ดอนหายได้ไม่นาน คืนหนึ่ง เธอได้รับการติดต่อจากพ่ออีกครั้ง และพบว่าเวลาในที่ที่พ่ออยู่นั้น มันผ่านไปเพียง 30 นาที เธอตั้งใจจะพาพ่อกลับมายังโลกปัจจุบันด้วยการใช้เครื่อง Taklee Genesis แต่มันกำลังนำไปสู่การผจญภัยที่กินเวลานับพันปี

รีวิวหนัง ‘ตาคลี เจเนซิส’

ถ้าจะเล่ากันแบบง่ายๆ มันเป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่พบเจอกับช่วงเวลายากลำบากในชีวิตจนต้องกลับมาบ้าน และมีความต้องการจะพาพ่อกลับมาหลังจากเขาหายตัวไปถึง 30 ปี แต่เมื่อดูกันไปถึงรายละเอียดแล้ว หนังมีความต้องการจะแฝงเรื่องราวบางอย่างให้คนดูได้สัมผัสถึง ภายนอกมันเป็นหนังไซไฟย้อนเวลากลับไปกลับมา ที่มีทั้งสัตว์ประหลาด ไดโนเสาร์ และอสุรกาย แต่ทว่า ภายในหนังมีแมสเสจที่เกี่ยวข้องกับบ้านเมืองไทยในอดีตที่ถูกขีดเขียนให้เชื่อมโยงไปยังโลกอนาคต

ทำให้มันกลายเป็นทั้งหนังดราม่าครอบครัว ไซไฟผจญภัยย้อนเวลา แฟนตาซีสัตว์ประหลาด และในอีกมุมนึง มันเป็นหนังการเมือง

ด้วยแรงบันดาลใจที่หลายหลากและสะสมผ่านกาลเวลามายาวนานเป็นสิบปีของผู้กำกับและร่วมเขียนบท มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ไม่ว่าจะเป็นการที่ทหารสหรัฐเข้ามาตั้งฐานใหญ่ทั้งสองฐานในประเทศไทย ทั้งที่ตาคลี นครสวรรค์ และอุดรธานี ทั้งเรื่องวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ความเชื่อ และสิ่งลึกลับมหัศจจรย์ที่อ่านมาจากหนังสือต่วย’ตูน รวมไปถึงความประทับใจต่างๆ นานาจากหนังจากหลายสัญชาติที่เขาเคยได้ดู เขาจึงหลอมรวมทุกอย่างเข้ามาไว้ด้วยกันในภาพยนตร์เรื่องเดียว

ถ้าเข้าไปดูแล้วพบว่า บางช็อตในหนังเรื่องนี้ มีความใกล้เคียงจนมองเห็นอิทธิพลจากหนังบางเรื่องที่เคยดูในวันเก่า ก็ไม่ต้องแปลกใจอะไร มันคือแรงบันดาลใจในการทำหนังเรื่องนี้นั่นเอง

เรื่องราวที่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ อย่างครอบครัว ลูกสาวที่ต้องการพาพ่อกลับมาจากอีกไทม์ไลน์หนึ่ง นำพาพวกเขาไปเกี่ยวข้องกับกับป่าต้องห้ามดอนหาย ที่เก็บงำความลับบางอย่างเอาไว้ การใช้แหวนและวาร์ปบอลได้แหวกให้เส้นแบ่งของโลกต่างช่วงเวลาเปิดถ่างออก การเปิดใช้ทุกครั้งก่อเกิดผลพวงที่คาดไม่ถึง กลายเป็นการผจญภัยข้ามเวลาที่น่าตื่นตาและพาเราย้อนมองประวัติศาสตร์ชาติตัวเอง

มันกลายเป็นหนังไทยที่มีความทะเยอทะยานอย่างเต็มเปี่ยม หนังเดินเรื่องไวพอสมควร มีช่วงอธิบายแทรกบ้างเพื่อเป็นข้อมูลพอให้คนดูเข้าใจ เล่าเรื่องของเหตุเล็กๆ ที่บานปลายกลายเป็นความยุ่งเหยิง แทรกซึม ขณะที่เทคนิคพิเศษด้านภาพทำได้ดีเทียบชั้นต่างชาติ เรียกว่าเป็นหนังที่งานด้านซีจีออกมาดีที่สุดเรื่องหนึ่ง

แต่ในความน่าชื่นชม หนังก็ยังมีอยู่หลายจุดที่ชวนให้หักคะแนนเช่นกัน ด้วยความที่หนังมันเล่าหลายไทม์ไลน์สลับกัน อาจเพราะตัดใหม่จากเกือบ 3 ชั่วโมง ให้เหลือ 2 ชั่วโมง 26 นาที ทำให้พบว่าบางไทม์ไลน์ดูกระโดดและไม่ต่อเนื่อง เหมือนมีบางเหตุการณ์เกิดขึ้นแต่ไม่ถูกบอกเล่า ตัดมาอีกที ตัวละครมาอยู่อีกที่หนึ่งไปแล้ว ส่วนหนึ่ง มันก็คงเพราะหนังมีรายละเอียดที่เยอะเกินจนทำให้เกิดช่องโหว่ มุมกล้องและการตัดต่อหลายฉากยังไม่ดีพอ บทของตัวละครบางตัวสร้างอารมณ์ขำโดยไม่ตั้งใจ ขณะที่การแสดงของนักแสดงวัยรุ่นหลายคนยังไม่ได้ และแอ็คติ้งบางส่วนก็ยังดูไม่เนี้ยบพอ

เรื่องสำเนียงการพูดแบบลูกครึ่งที่ภาษาไทยไม่แข็งแรงของพอลล่านั้น เราพอเข้าใจได้ แต่ถ้าสังเกตดู สเตลล่าสมัยเด็ก พูดสำเนียงอีสานได้ชัดเป๊ะซะด้วยซ้ำ คาดว่าโตมาคงไปอยู่เมืองนอกเมืองนานานไป เลยได้สำเนียงนี้มาแทน

แม้จะมองเห็นถึงความทะเยอทะยาน สร้างปรากฏการณ์หนังไทยแนวไซไฟที่ผสมผสานทุกอย่างเข้าด้วยกัน รวมทั้งแง่มุมประวัติศาสตร์บ้านเมืองก่อนที่ไทยจะเป็นอย่างทุกวันนี้ และส่งสาส์นบอกคนไทยถึงโลกอนาคตที่เราจะส่งต่อให้ลูกหลาน หนังมีซีจีที่ทำใด้โคตรดี มีบทที่เล่นใหญ่และซับซ้อน แต่ก็มองเห็นความตึงมืออยู่ในนั้น และถึงอย่างไร ก็คงต้องขอเอาใจช่วยหนังไทยให้เติบโตและก้าวต่อไปเช่นกัน

ป.ล. หนังจบแล้วไม่ต้องลุก เพราะยังมีฉากแถมที่บ่งบอกบางรายละเอียดของหนังอยู่ท้ายสุดของเครดิตปิดครับผม

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง