บางเวลาเราก็อาจจะอยากดูหนังบางเรื่องขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่ต้องอารัมภบทให้กับตัวเองมากมายนัก หนังตัวอย่างก็แทบจะไม่ได้ดู แต่แล้วก็ตกปากรับคำอย่างง่ายดาย ที่จะมาดูหนังเรื่องนี้ให้ได้ในวันรอบสื่อ ‘Sway’ หนังไทยนอกกระแสที่ไปโด่งดังไกลถึงโตรอนโต เมื่อมันกลายเป็นหนังไทยเรื่องเดียวที่ได้รับเลือกเข้าฉายในเทศกาล Toronto Film Festival เมื่อปี 2014 ที่ผ่านมา
หนังเรื่องนี้มีอะไรดี ทั้งๆ ที่มันเป็นหนังเรื่องแรกของผู้กำกับหน้าใหม่ มันเป็นหนังอินดี้ที่แทบไม่มีสื่อในมือช่วยโปรโมต มีแต่นักแสดงที่ไม่คุ้นเคย จะยกเว้นก็แต่เพียง อนันดา เอเวอริงแฮม เท่านั้นแหละที่เป็นที่รู้จักมากหน่อย แต่กลับเป็นหนังที่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน 3 เมือง ต้องไปถ่ายทำถึง 3 เมือง ทั้งกรุงเทพฯ ปารีส และลอสแองเจลิส
แล้วมันจะเป็นหนังอินดี้ได้ยังไง เลยต้องลองไปดูด้วยตาตัวเองกัน…
เรื่องย่อหนัง ‘Sway’
ใช่แล้ว หนังเล่าถึงเรื่องราวของตัวละครใน 3 เมืองใหญ่ หนึ่งคือคู่ของชายหนุ่ม (อนันดา เอเวอริ่งแฮม) กับแฟนสาว (ศจี อภิวงศ์) คนหนึ่งเกิดและโตในต่างประเทศ ฝันที่จะตั้งรกรากในต่างประเทศ ขณะอีกคนอยู่ในไทยมาตลอด แต่การคบหากับผู้ชายคนนี้กำลังทำให้เธอพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิต
มาถึงอีกเมืองอย่าง ปารีส ฝรั่งเศส เป็นเรื่องราวของหนุ่มฮ่องกง (แมตต์ วู/Matt Chung-tien Wu) ที่ตกงานและไประหกระเหินอยู่ที่นั่นในช่วงก่อนวีซ่าจะหมด กับคนรักเก่า (ลู่ หวง/Lu Huang) ผู้ทิ้งชีวิตนักแสดงชื่อดังจากบ้านเกิดมาเป็นคนเขียนข่าว แต่ดูเหมือนชีวิตรักของพวกเขาไม่น่าจะไปไหนได้ไกล
และเมืองสุดท้าย ลอสแองเจลิส หญิงสาวชาวอเมริกัน (คริส วูด-เบล/Kristina Lynn Bell) ที่ก้าวเข้ามาอยู่ในครอบครัวญี่ปุ่นที่มีสามีหนุ่ม (คัสซึฮิโกะ นิชิมูระ/Kazuhiko Nishimura) พ่อของเด็กสาวลูกติด ความไม่ลงรอยในครอบครัวที่ยากจะประสานให้กลมกลืนกัน
รีวิวหนัง ‘Sway’
“ชีวิต” คงเป็นสิ่งที่คนกำกับและเขียนบทเขาตั้งใจจะสื่อเอาไว้ เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของชีวิตคู่ แต่มันจะนำเสนอในเรื่องของครอบครัวที่ไม่ได้มีแค่พ่อแม่ลูก หากยังรวมถึงคนอื่นๆ ที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน และมันย่อมมีผลต่อสิ่งที่จะเกิดและสิ่งที่จะเลือกในชีวิตของพวกเขาด้วยเสมอ
คนข้างๆ คือครอบครัว คือคนสำคัญ
คนทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้ ไม่มีใครเลยที่จะอยู่โดยตัวคนเดียว ทุกคนต้องเกิดมาและแวดล้อมด้วยคนข้างๆ ไม่ว่าจะเป็นคู่ชีวิต ครอบครัว หรือเพื่อนฝูง ยิ่งพวกเขาอยู่ใกล้เรามากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีผลต่อชีวิตของเรามากขึ้นเท่านั้น การที่เราจะคิด จะรู้สึก หรือตัดสินใจทำอะไร บุคคลเหล่านี้ต่างมีผลชี้นำเราอย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะทัดทานเท่าไหร่ก็ไม่อาจหนีพ้น
เราอาจบอกว่า ชีวิตคือทางเลือก ทุกคนสามารถเลือกชีวิตของตัวเองได้
แต่ก็จะพบว่า เราต้องเลือกบนตัวเลือกที่ต้องนึกถึงตัวเราและคนข้างๆ เราด้วยเสมอ อย่างสาวไทยที่รักกับหนุ่มนักฝัน แต่เมื่อหนทางเริ่มจะตีบตัน และดูเหมือนจะบีบให้เดินไปอีกเส้นที่ต่างจากที่ฝันไว้ ถ้าเรายังเลือกที่จะให้คนข้างๆ ยังคงอยู่ข้างๆ กาย ทางเลือกก็คงจะไม่ได้มีมากมายนัก ช่วงท้ายของคู่นี้ถือว่าบีบหัวใจอยู่พอสมควร
หรือจะเป็นชีวิตของหนุ่มญี่ปุ่นที่ไปตั้งรกรากไกลถึงแอลเอ พกพาลูกสาวติดไปด้วย แต่ก็ไปสร้างปัญหากับสมาชิกใหม่ของครอบครัว นี่น่าจะเป็นเรื่องที่ดูมีเนื้อมีหนังที่สุดใน ‘Sway’ แล้วกระมัง เมื่อเรื่องราวที่ถูกเล่าเอาไว้ตอนต้น กลับมาเฉลยให้เราได้เข้าใจตอนหลัง และก็เป็นอีกครั้งที่สะเทือนหัวใจคนอ่อนไหวอย่างข้าพเจ้า
มีอะไรก็ควรจะพูดกัน
หลายครั้งที่เฝ้าดูพฤติกรรมของตัวละครในหนังเรื่องนี้ เหมือนจะพบว่าทั้ง 3 ครอบครัว ต่างมีอะไรบางอย่างที่เป็นจุดร่วมกัน คือ เป็นคู่ชีวิตหรือเป็นครอบครัวที่มีอะไรมักจะไม่พูดจาเปิดอกเปิดใจต่อกัน เอาแต่อมพะนำเก็บเรื่องราวของตัวเองเอาไว้ในใจ อาจเพียงเพราะไม่มั่นใจว่าพูดออกมาแล้วเรื่องราวจะยิ่งเลวร้ายลงหรือเปล่า
หรือเพราะคิดว่าพูดออกมาแล้ว จะได้พบกับผลลัพธ์ที่ไม่พึงปรารถนาหรือไม่
หนังเพียงจะบอกกับเราว่า ผลลัพธ์ของการบอกกับการไม่บอกนั้นมันต่างกันอย่างไร และเหมือนจะชี้นำว่าอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นดีกว่า
แทรกมุมการเมืองพอเป็นน้ำจิ้ม
อีกจุดหนึ่งที่หนังที่ยังไม่มีชื่อไทยอย่าง ‘Sway’ พยายามจะบอกเล่ากับเราก็คือ การหยิบเอาบริบทของเหตุบ้านการณ์เมืองของในทั้งสามเมืองมาเล่าแทรกไปกับหนัง ซึ่งนายแพทเองก็ยังไม่แน่ใจนัก ว่าผู้กำกับกำลังต้องการจะสื่ออะไร หรือเป็นเพราะเมืองไทยไม่ยอมรับการเล่าการเมืองเป็นจริงเป็นจังในหนังก็เลยหยิบมาเล่าแทรกไปในหนังรักหนังชีวิตกันไป
แต่สิ่งหนึ่งที่พอจะรู้สึกได้จากข้อนี้ก็คือ ไม่ว่าเราจะหนีไปอยู่เมืองไหนประเทศใด ทุกที่ต่างก็มีปัญหาของตัว เราอาจจะคิดปัญหาของเราคือปัญหาที่ใหญ่สุดหนักสุด แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่กันเป็นสังคม ประกอบกับมีมันสมองที่คิดซับซ้อนได้ ชักพาให้เกิดการเมืองขึ้นมาเสมอในเผ่าพันธุ์ เพราะฉะนั้น หนีไปเถิด ไปอยู่ประเทศไหนก็ได้ ยังไงก็ต้องเจอกับปัญหาการเมืองของประเทศนั้นๆ อยู่ดี
แต่น่าเสียดายที่หนังไม่ได้หยิบจับมาให้มันสัมพันธ์กับเรื่องราวของตัวละครในทั้งสามเมืองนั่นแต่อย่างใด
ไม่เร่งเร้า แต่เข้าถึงหัวใจ
‘Sway’ มีกลิ่นความเป็นหนังที่ไม่เอาใจผู้ชมมากนัก เล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ ไม่บีบเค้น ไม่เร่งเร้า หลายที่ดูมาสักพักหนึ่ง อาจจะมีอาการหาวกันได้บ้างซึ่งก็คงไม่น่าแปลกใจอะไรนัก หากแต่ดนตรีประกอบในหนังเรื่องนี้ ถือว่าตั้งใจทำกันมาค่อนข้างดีทีเดียว แม้บางช่วงจะดูอลังการเกินหน้าเกินตาภาพไปบ้างก็ตาม
เพราะฉะนั้น ผู้ชมอาจจะต้องอดทนกับหนังอยู่บ้าง แต่เชื่อเหอะ ถ้าไปรอดจนถึงตอนท้ายก็น่าจะเข้าใจในสารที่หนังส่งไปถึงคุณได้ไม่มากก็น้อย
หนังใช้วิธีการเล่าสลับไปสลับมา ระหว่างเรื่องราวของตัวละคร 3 ชุดใน 3 เมืองที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ใช้กลวิธีการเล่าที่ไม่เปิดเผยอะไรมากเกินไปนัก มีอาการนิ่งแช่บ้างให้ผู้ชมได้ซึมซับบรรยากาศ ทุกอย่างในหนังจึงดู ‘เรียล’ หรือใกล้เคียงความจริงอย่างที่สุด แต่ขณะเดียวกัน ก็สร้างกำแพงให้ผู้ชมบางส่วนเข้าไม่ถึงกับเรื่องราวที่ถูกเล่า จนเมื่อมันดำเนินไปจนถึงตอนท้ายนั่นแหละที่เราเริ่มจะเข้าใจหลายๆ อย่าง
มันคือหนังที่มีอารมณ์เล่าแบบเหงาๆ แต่บางช่วงก็อบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
ชื่อภาพยนตร์: Sway
ผู้กำกับภาพยนตร์: รุจ ตั้งจิตปิยะนนท์ (Rooth Tang)
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: รุจ ตั้งจิตปิยะนนท์ (Rooth Tang)
นักแสดงนำ: อนันดา เอเวอริงแฮม, ศจี อภิวงศ์ (Sajee Apiwong), Kristina Lynn Bell, Lu Huang, Miki Ishikawa, Tohoru Masamune, Matt Chung-tien Wu, Kazuhiko Nishimura
ความยาว: 108 นาที
แนว/ประเภท: Drama
ประเทศ: ไทย
อัตราส่วนภาพ: 2.35 : 1
เรท: ไทย/, MPAA/
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 10 ธันวาคม 2558 (เฉพาะ เอสพลานาด รัชดาภิเษก, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน และ ที่ SF World Cinema เซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า)
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Convergence Entertainment, Diligence Films, Wayward Productions
Sway
Sway - 8
8
Sway
หนังใช้วิธีการเล่าสลับไปสลับมา ระหว่างเรื่องราวของตัวละคร 3 ชุดใน 3 เมืองที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ใช้กลวิธีการเล่าที่ไม่เปิดเผยอะไรมากเกินไปนัก มีอาการนิ่งแช่บ้างให้ผู้ชมได้ซึมซับบรรยากาศ ทุกอย่างในหนังจึงดู 'เรียล' หรือใกล้เคียงความจริงอย่างที่สุด แต่ขณะเดียวกัน ก็สร้างกำแพงให้ผู้ชมบางส่วนเข้าไม่ถึงกับเรื่องราวที่ถูกเล่า จนเมื่อมันดำเนินไปจนถึงตอนท้ายนั่นแหละที่เราเริ่มจะเข้าใจหลายๆ อย่าง มันคือหนังที่มีอารมณ์เล่าแบบเหงาๆ แต่บางช่วงก็อบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก