ซูเปอร์ฮีโร่ร่างใหญ่หัวใจเด็กกลับมาแล้ว หลังเคยวาดลวดลายพาผู้ชมขำกลิ้งไปกับบุคลิกของพวกเขา และหลังพวกเราได้รู้จักกับที่มาของพลังและการแปลงกายเป็นผู้ใหญ่พลังล้นเหลือในภาคก่อน มาหนนี้ ‘Shazam Fury of the Gods’ หรือชื่อไทย ‘ชาแซม! จุดเดือดเทพเจ้า’ จะพาทุกคนไปพบกับภารกิจต่อกรวายร้ายครั้งใหม่เพื่อปกป้องพลังและปกป้องโลกของพวกเขา พร้อมแล้วหรือยังที่จะเอ่ยคำวิเศษคำนั้นไปด้วยกัน
ผลงานจากผู้กำกับคนเดิม David F. Sandberg ที่เติบโตไต่เต้ามาจากหนังสั้น ‘Ponysmasher’ บนยูทูบ ก่อนจะได้โอกาสไปกำกับหนังสยองขวัญอย่าง ‘Lights Out’ และ ‘Annabelle Creation’ หลังกำกับซาแชมภาคแรกไปแล้วได้ผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ เขาได้รับโอกาสกำกับภาคต่อที่จะพาเราไปพบกับธิดาทั้งสามแห่งแอตลาส
มาดูกันซิว่า คราวนี้ ซูเปอร์ฮีโร่เด็กกำพร้าทั้งหลายจะต่อกรกับพวกเธออย่างไร
เรื่องย่อหนัง ‘Shazam! Fury of the Gods’
มันคือเรื่องราวภาคต่อของ บิลลี่ แบทสัน (Asher Angel/แอชเชอร์ แองเจิล จากหนังเรื่อง ‘Shazam!’) เด็กวัยรุ่นผู้ได้รับเลือกจากพ่อมดสภาจอมขมังเวทย์ เมื่อใดที่เขาเอ่ยคำวิเศษ “ชาแชม!” เขาจะกลายร่างเป็นผู้ใหญ่ในคราบซูเปอร์ฮีโร่หุ่นล่ำบึ้กผู้เต็มไปด้วยความมั่นใจอย่าง ชาแซม (Zachary Levi/แซคารี ลีวาย จากหนัง ‘Thor: Ragnarok’ และ ‘Office Uprising’) พร้อมมีพลังเหนือมนุษย์จากเหล่าเทพปกรนัมกรีก แต่บิลลี่ก็คือเด็กเนิร์ดๆ คนหนึ่งที่ต้องเจอกับเรื่องว้าวุ่นในวัยเรียน โชคดีที่เขามีเพื่อนซี้ติ่งซุปอย่าง เฟรดดี้ (Jack Dylan Grazer จากหนังเรื่อง ‘It’) ต่อมาเขาและเด็กคนอื่นๆ รวมตัวกันกลายเป็นขบวนการซูเปอร์ฮีโร่ชาแซมแฟมิลี่ที่ก่อเกิดจากเหล่าเด็กกำพร้า
หลังจากที่ได้รับพลังอย่างพระเจ้า บิลลี่ แบทสันและเพื่อนๆ ของเขาต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตของวัยรุ่นโดยที่ยังมีความเป็นซูเปอร์ฮีโร่แบบผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจอยู่ในตัว
แต่เมื่อธิดาแห่งแอตลาส (Daughters of Atlas) ทั้งสาม อันประกอบไปด้วย เฮสเพอร่า (Helen Mirren จากหนัง ‘F9: The Fast Saga’), กาลิปโซ่ (Lucy Liu จากหนัง ‘Charlie’s Angels’) และ แอนเธีย (Rachel Zegler จากหนัง ‘West Side Story’) ที่มีความแค้นสมัยเทพเจ้าโบราณได้เดินทางมายังโลกเพื่อทวงคืนพลังที่ถูกขโมยไป บิลลี่หรือชาแซมและครอบครัวจึงจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้เพื่อปกป้องพลังของพวกเขา ชีวิตของพวกเขา และชะตากรรมของโลกของพวกเขา
รีวิวหนัง ‘ชาแซม! จุดเดือดเทพเจ้า’
หลังเด็กกำพร้าคนหนึ่งได้พลังมาจากพ่อมด แล้วเขาเลือกจะเผื่อแผ่พลังนั้นให้กับพี่น้องเด็กกำพร้าด้วยกัน ทั้งหกที่ต่างอยู่ในบ้านหลังเดียวกันล้วนได้เป็นซูเปอร์ฮีโร่ผู้ทรงพลังด้วยกันทั้งสิ้น แต่เพราะความเป็นที่ยังเป็นเด็ก คงไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องการปกป้องโลก ไม่ได้สนใจอะไรนักนอกจากใช้สนุกกับการใช้พลังไปโดยไม่ยั้งคิด ไม่รู้เลยว่า สิ่งที่ทำไปจะส่งผลยุ่งเหยิงติดตามให้ต้องมาแก้ไขในภายหลัง
หนังซูเปอร์ฮีโร่ตัวใหญ่หัวใจเด็กกลับมาอีกครั้ง ‘Shazam! Fury of the Gods’ ผ่านสายตาของผู้กำกับคนเดิม ที่รู้ว่าจุดเด่นของฮีโร่ตัวนี้คืออะไรแล้วก็ใช้มันสานต่อในสเกลที่ใหญ่โตขึ้น ในสไตล์ที่ยังคงเน้นเป็นหนังครอบครัว เน้นความโบ๊ะบ๊ะพาผู้ชมฮากลิ้งกับมุกฮาที่รับส่งกันอย่างเหมาะเจาะพอดี ขณะเดียวกัน ก็ใส่ฉากแอ็คชันที่หนักหน่วงกว่าเดิม วินาศสันตะโรกว่าเดิม มาเพิ่มให้ผู้ชมรู้สึกตื่นตาตื่นใจขึ้น ประมาณนั้น
ในภาคนี้ เหล่าเดอะแก๊งเด็กกำพร้าพลังเทพเจ้าล้วนโตขึ้นมาก แม้ว่าบิลลี่จะพยายามให้ทุกคนเน้นออกโรงร่วมกัน แต่ก็เหมือนจะมีบางคนชอบทำตามใจตัวเองอยู่เรื่อย อีกอย่าง หลายคนในแก๊งมีชีวิตเป็นเด็กมัธยมแต่ก็ต้องทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้คนไปด้วย ก่อนจะได้พบว่า บางสิ่งที่เคยทำพลาดไว้ ได้กลับกลายเป็นอุปสรรคชิ้นโตให้ต้องตามแก้
คราวนี้ ฝ่ายตรงข้ามของพวกเขาเป็นเทพเจ้าและล้วนเป็นธิดาของแอตลาส พี่น้องทั้งสาม เฮสเพอร่า พี่สาวสูงวัยคนโต ผู้พิทักษ์ของต้นไม้แห่งชีวิต, กาลิปโซ่ เทพเจ้าผู้เหี้ยมโหดที่ควบคุมพลังโกลาหล อีกทั้งยังเป็นแม่มังกร ยามขี่ลาดอนมังกรไม้เธอดูน่าเกรงขามยิ่ง และ แอนเธีย น้องคนเล็กที่ยังอ่อนวัย (สำหรับเทพเจ้าอะนะ) หน้าตารุ่นราวคราวเดียวกับเหล่าเด็กกำพร้า มีพลังควบคุมแกนกลาง ทำให้ทุกสิ่งใต้เท้าหมุนวน ทั้งหมดมาเพื่อทวงคืนสิ่งของและพลังที่ถูกขโมยไป
แต่ดูเหมือน แอน หรือ แอนเธีย ที่เป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนของเฟรดดี้ จะเป็นผู้ที่ยังมีจิตใจอ่อนโยนและไม่เชิงเห็นด้วยกับพี่สาวทั้งสองสักเท่าไหร่นัก และนั่นก็ทำให้เกิดเรื่องเกิดราวที่ดูมีสีสันขึ้นมา คงต้องบอกว่าด้วยหน้าตาและการแสดง Rachel Zegler ดูมีเสน่ห์และโดดเด่นจนอยากให้มีหนังที่เล่าเรื่องของเธอต่อเลยล่ะ
นอกจากมังกรไม้แล้ว ในภาคนี้ ก็ยังมีคาแรกเตอร์ที่เป็นสัตว์ร้ายที่โผล่ขึ้นมาก่อความวุ่นวายในเมืองด้วย ทำให้สเกลของชาแซมภาคนี้มีความใหญ่โตขึ้น ขณะที่บทหนังก็ยังไม่ทิ้งความเป็นเด็กทำอะไรไม่ยั้งคิดอยู่เช่นเดิม ตลกโปกฮาตามประสาเด็กอยู่เช่นเคย ทั้งยังคงเน้นความเป็นครอบครัว เป็นหนังที่เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี แต่ก็มีกลิ่นอายความ Coming-of-Age เข้ามาด้วยเช่นกัน บิลลี่เวอร์ชันผู้ใหญ่ในภาคนี้ต้องเลือกว่าจะทำสิ่งใดเพื่อจะทำให้ภารกิจกอบกู้โลกครั้งนี้เป็นผลสำเร็จ
หนังอาจใช้เวลาช่วงต้นค้นหาตัวเองอยู่นิดหน่อย ก่อนจะจูนเครื่องติดแล้วไปต่อยาวๆ อาจพบว่าสไตล์สยองขวัญที่เจ้าตัวถนัดนั้นลดน้อยลงไปมาก ให้เวลากับฉากโบ๊ะบ๊ะและฉากแอ็กชั่นมากเป็นพิเศษ และก็เป็นธรรมดาของหนังสไตล์ครอบครัวที่หาความสมจริงอะไรไม่ได้เลยนอกจากความสนุก จนบางทีก็อาจตะหงิดว่าบางอย่างบทจะลงเอยก็ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อเหมือนกัน
หนังปิดท้ายด้วยการมีฉากแถมตามสไตล์หนังซูเปอร์ฮีโร่ หนึ่งเป็นฉากกลางเครดิตที่เปิดเผยอนาคตของจักรวาลนี้ได้พอสมควร กับอีกฉากที่อยู่ท้ายสุดที่ทำให้ผู้ชมต้องเก็บไปคิดว่าจะมีอะไรต่อจากภาคนี้ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องลุกไปฉี่ซะก่อนนะ
บทความที่เกี่ยวข้อง:
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | Shazam! Fury of the Gods / ชาแซม! จุดเดือดเทพเจ้า |
กำกับ | David F. Sandberg/เดวิด เอฟ. แซนด์เบิร์ก |
เขียนบท | Henry Gayden, Chris Morgan |
แสดงนำ | Zachary Levi, Helen Mirren, Rachel Zegler, Lucy Liu, Adam Brody, Djimon Hounsou, Asher Angel, Jack Dylan Grazer |
แนว/ประเภท | แอ็กชัน, ผจญภัย, คอเมดี้, อาชญากรรม, แฟนตาซี, ระทึกขวัญ |
เรท | PG-13 |
ความยาว | 130 นาที |
ปี | 2023 |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
เข้าฉายในไทย | 16 มีนาคม 2023 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | New Line Cinema, DC Entertainment, Warner Bros. |
ชาแซม! จุดเดือดเทพเจ้า
พล็อตและบท - 7
การแสดง - 7.2
การดำเนินเรื่อง - 7.5
เพลงและดนตรีประกอบ - 7.2
งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชัน - 7.2
7.2
Shazam! Fury of the Gods
แก๊งเด็กพร้าพลังเทพเจ้ากลับมาอีกครั้ง พร้อมด้วยเรื่องราวที่ใหญ่โตขึ้น เมื่อธิดาแห่งเทพแอตลาสบุกโลกมนุษย์เพื่อทวงคืนพลังที่ถูกขโมยไป ทำให้เดอะแก๊งต้องรวมพลังกันต่อสู้เพื่อช่วยทั้งตัวเองและกอบกู้โลก หนังมีความโบ๊ะบ๊ะที่เหมาะเจาะลงตัว ขณะเดียวกันก็มีฉากแอ็กชันที่ชวนตื่นเต้นเร้าใจ กลายเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่แนวครอบครัว ดูกันได้เพลินๆ ไม่ต้องปวดหัวอะไรมาก แม้บางส่วนจะลงเอยง่ายดายไปหน่อย กับลีลาสยองขวัญที่เป็นลายเซ็นของผู้กำกับก็ลดและหายไป