นี่คือผลงานใหม่จากใจ แซ็ค สไนเดอร์ ที่ทำเพื่อฉายในเน็ตฟลิกซ์ เป็นหนังที่สร้างหลายภาคเพื่อให้ผู้ชมติดตามอย่างต่อเนื่อง หลังจากเปิดตัวด้วยภาคแรกไปเมื่อปลายปีก่อน เข้าสู่เมษาหน้าร้อน เขาก็ส่งภาคสองตามมา ‘Rebel Moon – Part Two: The Scargiver’ หรือชื่อไทย ‘เรเบล มูน ภาค 2: นักรบผู้ตีตรา’ เรื่องราวของเหล่าแก๊งกบฏที่ยังคงต้องต่อสู้เพื่อรักษาบ้านของเหล่าชาวนาบนดาวเวลท์ ที่เพิ่งออนไลน์ฉายไปตั้งแต่ 19 เมษายนที่เพิ่งผ่านพ้นมา
ความเห็นส่วนตัวของนายแพท
หนังเน็ตฟลิกซ์ภาคต่อ แอ็คชันไซไฟผลงานจาก Zack Snyder ที่ตั้งใจจะสร้างรวม 6 ภาค และในภาคนี้ แหล่งกลุ่มกบฎที่เหลือ 6 คนได้กลับสู่ดาวเวลท์อีกครั้ง แต่ก็พบว่าพวกตนต้องร่วมมือกับชาวนาต่อสู้เพื่อรักษาบ้านของพวกเขาอีกครั้งจากการกลับมาคุกคามของยานเดรตนอต หนังดูไม่ต่างจากภาคแรก เพียงแค่ขยายสงครามให้ใหญ่โตขึ้น มาพร้อมฉากที่ดูไม่จำเป็น ความไม่สมเหตุผลเล็ก ๆ น้อย ๆ
และเต็มไปด้วยฉากแอ็คชันที่ยังคงเน้นสโลว์โมชันอย่างพร่ำเพรื่อ
เรื่องย่อหนัง ‘Rebel Moon – Part Two: The Scargiver’
หลังจากแก๊งเจ็ดเซียนรวมตัวกันไปปราบกองกำลังที่นำโดยนายพลแอคติคัส (Ed Skrein จากหนังเรื่อง ‘Midway’ และ ‘Alita’) ได้สำเร็จ พวกเขาก็โห่ร้องดีใจแล้วก็กลับมายังเวลท์ ดวงจันทร์ที่อยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางมาเธอร์เวิลด์มาก แต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดก็คือ แอคติคัสไม่ได้เสียชีวิต เขาตกลงไปบนผาหินก็จริง แต่ก็ได้รับการช่วยเหลือจนฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว พวกเขากลับมาใหม่และจะมาถึงในอีก 5 วัน ทำให้พวกเขาต้องเตรียมตัวรับมือ
ด้วยกำลังคนเพียงน้อยนิด จึงต้องคิดแผนการ แก๊งที่เหลือเพียงหก นำโดย คอร่า (Sofia Boutella จากหนังเรื่อง ‘Star Trek Beyond’) เร่งรีบทำการเก็บเกี่ยว เตรียมอาวุธและฝึกปรือกันอย่างเร่งด่วน เพื่อรับมือกับยานเนตรราชันที่กลับมาใหม่ และศึกครั้งนี้คงใหญ่กว่าครั้งก่อนแน่ แต่คนเพียงหยิบมือที่เป็นแค่เหล่าชาวนา กับกองกำลังเล็ก ๆ แค่หกคนจะสู้กองกำลังอันโหดเหี้ยมจากมาเธอร์เวิลด์ได้ไหม คงต้องมาดูกัน
รีวิวหนัง ‘เรเบล มูน ภาค 2: นักรบผู้ตีตรา’
เรื่องราวมันต่อจากภาคแรกแทบจะทันที มันเริ่มต้นด้วยการฟื้นฟูร่างของท่านนายพลที่พอตื่นขึ้นมาก็บอกผู้บัญชาการแคสเซียส (Alfonso Herrera) ให้หันหน้าสู่เวลท์ ดวงจันทร์กบฏนั่นในทันที ขณะที่แก๊งเจ็ดเซียนที่เหลือหกก็กลับคืนมาอย่างว่องไว และเข้าใจว่านายพลแอคติคัสตายแล้ว แต่ในเมื่อความจริงมันไม่ใช่ ทำให้ชาวบ้านบนดาวเวลท์ต้องรวมตัวกันสู้อีกครั้ง
ในเวลานี้ ชาวบ้านให้การต้อนรับขับสู้แก๊งหกเซียนเป็นอย่างดี กุนนาร์ (Michiel Huisman) ชาวเวลท์ที่กลายเป็นคนสำคัญผู้ช่วยให้แก๊งทำสำเร็จในภาค ‘Rebel Moon ภาค 1: บุตรแห่งเปลวไฟ’ พร้อมด้วย นายพลไททัส (Djimon Hounsou) อดีตผู้บัญชาการรบสุดเกรียงไกร, ทารัค (Staz Nair) เชื้อพระวงศ์ที่ยังคงเหลืออยู่, เนเมซิส (Bae Doona) มือดาบหญิงผู้เก่งกล้า, คอร่า และมิลิอัส (Elise Duffy) นักรบมือดีจากกองกำลังของพี่น้องบลัดแอกซ์ พวกเขาสั่งให้ชาวบ้านเร่งเก็บเกี่ยวด้วยเหตุผลเพื่อใช้มันเป็นโล่กำบัง และเตรียมรับมือกับภัยคุกคามครั้งใหม่ที่ใกล้จะมาถึง
หนังเหมือนตั้งตาทำซ้ำรอยเดิมแต่เพิ่มขนาดของสงครามให้ใหญ่ขึ้น จากการต่อสู้บนท่าการค้าเล็ก ๆ บนดาวดวงหนึ่ง สู่การต่อสู้ระหว่างแก๊งเซียนและชาวนา ที่ต้องรับมือกับกองกำลังที่แข็งแกร่งกว่าด้วยยุทโธปกรณ์ ฝ่ายหนึ่งสู้เพื่อรักษาบ้านของตนเอง แต่อีกฝ่ายสู้เพื่อสังหารไม่ก็จับกุมตัวผู้ที่อุปราชบาลิซาเรียส (Fra Fee จากซีรีส์ ‘Hawkeye’) ต้องการตัวมากที่สุด
แต่บทหนังก็ชวนให้รู้สึกแปลกและขัดใจในหลายจุด หนึ่งในนั้น คือบทเหมือนตั้งใจแกล้งให้คนดูงงงวยกับพฤติกรรมประหลาดของหุ่นจิมมี่ หรือเจมส์ (Anthony Hopkins จากหนังเรื่อง ‘The Father’) ที่จู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมาสวมเขากวางที่เป็นเหมือนมงกุฎให้กับตนเอง แถมยังทำเล่นตัว ทำเหมือนไม่สนใจจะช่วย ก่อนจะโผล่มาโชว์ความแข็งแกร่งซะอย่างนั้น หรือว่าเขาจะเป็นหุ่นเอไอสายติสต์กันหว่า หรืออีกหนึ่งที่ตัวร้ายที่ร่วมมือกับอีกตัวอยู่ดี ๆ แต่กลับป้ายความผิดให้อีกตัวซะดื้อ ๆ แถมตัวประกอบทุกตัวก็ไม่ได้อึ้งอะไร ปล่อยให้คนดูคนนี้นั่งอึ้งอยู่ฝ่ายเดียว เป็นต้น
แต่บางส่วนก็ชวนอึ้งและพาขำ เมื่อมีอยู่ฉากแฟลชแบ็กฉากหนึ่งที่ใส่ตัวละครเล่นดนตรีประกอบเข้ามา และเมื่อเหตุการณ์พลิกผัน พวกเขาก็เปลี่ยนเพลงตามไปด้วย จนสงสัยว่านี่คงเป็นอารมณ์ขันส่วนตัวของผู้กำกับ
บทหนังพาเราให้เสียเวลาอยู่กับการนั่งดูชาวนาเก็บเกี่ยวอยู่เนิ่นนาน กว่าที่ยานเดรดน็อตจะเดินทางมาถึง ฝ่ายชาวบ้านดูอ้อยอิ่งและมีสุข ทั้ง ๆ ที่ควรจะเครียดที่ต้องรับมือกับกองกำลังที่น่าหวาดหวั่นที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ความน่าเชื่อของบทมันอยู่ตรงไหนในหนังเรื่องนี้กัน และในอีกด้านหนึ่ง บทหนังชอบก็จะให้ตัวละครบอกเล่าเหตุการณ์ในอดีตซะเหลือเกิน หนังใส่แง่มุมเข้ามาเมื่อคอร่าผู้มีความหลังฝังใจ ไม่กล้าจะเผยความจริงที่ตนเคยทำไว้ในอดีต
แต่ใด ๆ หนังก็ดูจะโดดเด่นในเรื่องเทคนิคพิเศษที่สร้างภาพของการต่อสู้ที่ชวนรู้สึกดุดันและน่าตื่นตา แต่ก็ใด ๆ อีกเช่นกัน หนังของสไนเดอร์ยังคงเน้นความภาพสวย แต่ก็ยังชอบจะเล่นกับสไตล์สโลว์โมชันพร่ำเพรื่อเช่นเคย ซึ่งได้กลายเป็นหัวใจของหนัง แทนที่จะเป็นบทที่เข้มข้นหนักแน่น และเช่นเดิม บทหนังไม่เคยทิ้งความไม่สมเหตุสมผลให้คนดูต้องขมวดคิ้วสงสัย
ปิดท้ายด้วยการบ่งบอกว่า จักรวาลของเรเบลมูนมันยังไม่จบเท่านี้ เหตุเซอร์ไพรส์ทำให้เราได้รู้ว่า มันยังคงมาภาคหน้าตามมาอีกอย่างแน่นอน และดูเหมือนว่า หนังจะมีการสร้างทั้งหมด 6 ภาค เรียกได้ว่า ตามดูกันยาว ๆ กันไปได้เลย
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | Rebel Moon – Part Two: The Scargiver / เรเบล มูน ภาค 2: นักรบผู้ตีตรา |
กำกับ | Zack Snyder |
เขียนบท | Shay Hatten, Kurt Johnstad, Zack Snyder |
แสดงนำ | Sofia Boutella, Staz Nair, Djimon Hounsou, Anthony Hopkins, Michiel Huisman, Charlotte Maggi, Bae Doona, Ed Skrein, Elise Duffy |
แนว/ประเภท | แอ็คชัน, ผจญภัย, ดราม่า, แฟนตาซี, ไซไฟ |
เรท | PG-13 |
ความยาว | 122 นาที |
ปี | 2024 |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
เข้าฉายในไทย | 19 เมษายน 2024 ทาง Netflix |
ผู้ผลิต | Grand Electric, The Stone Quarry |
คะแนนรีวิวหนัง เรเบล มูน ภาค 2: นักรบผู้ตีตรา
พล็อตและบท - 4
การแสดง - 5.8
การดำเนินเรื่อง - 5
การถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษ และโปรดักชั่น - 7.4
เพลงและดนตรีประกอบ - 7
5.8
Rebel Moon - Part Two: The Scargiver
หนังเน็ตฟลิกซ์ภาคต่อ แอ็คชันไซไฟผลงานจาก Zack Snyder ที่ตั้งใจจะสร้างรวม 6 ภาค และในภาคนี้ แหล่งกลุ่มกบฎที่เหลือ 6 คนได้กลับสู่ดาวเวลท์อีกครั้ง แต่ก็พบว่าพวกตนต้องร่วมมือกับชาวนาต่อสู้เพื่อรักษาบ้านของพวกเขาอีกครั้งจากการกลับมาคุกคามของยานเดรตนอต หนังดูไม่ต่างจากภาคแรก เพียงแค่ขยายสงครามให้ใหญ่โตขึ้น มาพร้อมฉากที่ดูไม่จำเป็น ความไม่สมเหตุผลเล็ก ๆ น้อย ๆ และเต็มไปด้วยฉากแอ็คชันที่ยังคงเน้นสโลว์โมชันอย่างพร่ำเพรื่อ