ในสัปดาห์นี้ คงจะมีเพียงหนังเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ผมอยากเดินออกไปดู หนังแอ็คชั่นมันระห่ำที่เล่นกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ มันเป็นหนังรีเมกจากเวอร์ชั่นเก่าที่ผมยังไม่เคยได้ดู และหนังเรื่องนั้นก็คือ ‘Point Break ปล้นข้ามโคตร’ ที่ผมจะหยิบมาเล่าถึงในวันนี้ยังไงล่ะครับ
มันเป็นหนังที่เคยถูกสร้างออกมาเมื่อปี 1991 ในเวอร์ชั่นนั้น มี Patrick Swayze และ Keanu Reeves แสดงนำ มี Kathryn Bigelow (ผกก.หญิงเจ้าของผลงาน The Hurt Locker และ Zero Dark Thirty) เป็นผู้กำกับ ประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย จากทุนสร้าง 24 ล้านเหรียญ ทำรายได้ทั่วโลกไป 83 ล้านเหรียญ ด้วยคะแนนมะเขือเน่าระดับ 68%
ผมคงไม่มานั่งเปรียบเทียบหรอก แต่เอาแค่จากที่ผมเห็นในเวอร์ชั่นนี้ก็แล้วกัน
เรื่องย่อหนัง ‘Point Break’
หนังอย่าง ‘Point Break’ ได้รับการนำมาปัดฝุ่นสร้างใหม่ โดยได้ Ericson Core (Invincible) มารับหน้าที่กำกับ เขาช่ำชองในหน้าที่มือถ่ายภาพมาจากหลายต่อหลายเรื่อง แต่ถ้าเป็นหน้าที่กำกับถือว่ายังมีผลงานน้อยมาก และนี่เป็นหนังโรงเรื่องที่สองของเขาเท่านั้น
หนังเล่าถึงตัวละครหลักอย่าง จอห์นนี่ ยูทาห์ นักซิ่งมอเตอร์ไซค์ผาดโผนและนักเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่หยุดเล่นไปเพราะการสูญเสียเพื่อนที่เขารักที่สุดไปต่อหน้าต่อตา แต่ก็หันไปสมัครเป็นเอฟบีไอ..ซะอย่างนั้น
ด้วยบัดนี้ เอฟบีไอสืบทราบว่าได้มีก๊วนหนึ่งคอยปล้นเอาเงินไปโปรยให้ชาวบ้านร้านตลาดเป็นว่าเล่น ทั้งยังใช้เป็นที่เล่นผาดโผนโจนทะยานอย่างสนุกสนานเกิดเหตุ จำต้องมีการกำราบให้สิ้นซาก จึงจำเป็นยิ่งที่ต้องใช้สมุนมือใหญ่หัวใจเอ็กซ์ตรีมเข้าเป็นไส้ศึก
อันก๊วนที่ว่านั้น มีจิตใจแน่วแน่ที่จะทำตามอย่างปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งคำสอนที่ชื่อ “โอซากิทั้งแปด” ด้วยการยักเอาสิ่งที่มนุษย์ตักตวงจากธรรมชาติให้กลับคือสู่ธรรมชาติและแบ่งปันสู่ผู้คนที่ยากไร้ ช่างเป็นหลักคำสอนที่ประเสริฐยิ่งนัก หากแต่หลอมรวมอยู่กับกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่ใช้พละกำลังของมนุษย์ตัวจ้อยเพื่อเอาชนะธรรมชาติ
การอันแทรกซึมเข้าเป็นพวกกับก๊วนให้ได้นั้น นับว่าต้องใช้ศิลปะอย่างยิ่ง นั่นคือ การร่วมในกิจกรรมของก๊วนแม้ต้องเสี่ยงชีวิต เมื่อได้ข่าวสารอันใดก็หยิบมาบอกนายใหญ่ในเอฟบีไอให้รับรู้ หากการถลำลึกเข้าไปอยู่ในกลุ่มก๊วนแห่งนั้น
นำมาซึ่งความยากลำบากใจในการเลือกข้างเป็นอย่างยิ่ง
รีวิวหนัง ‘Point Break ปล้นข้ามโคตร’
Luke Bracey/ลุค เบรซี่ สวมบทบาทเป็น จอห์นนี่ ยูทาห์ (ที่เดิมเป็น Keanu Reeves รับบทนี้) หนุ่มหัวใจเอ็กซ์ตรีมที่ได้เป็นเอฟบีไอมือใหม่ ได้งานแรกเป็นการแทรกซึมในก๊วนโอซากิ และได้ต้องปะทะกับแกนนำก๊วนอย่าง โบดี้ ที่สวมบทบาทโดย Édgar Ramírez (เดิมบทนี้เป็นของ Patrick Swayze) แถมยังมีสาวสวยพ่วงมาด้วย เธอไม่ได้ไปร่วมในหลักคำสอนเดียวกันแต่ก็อยู่ในกลุ่ม เธอคือ แซมซาร่า (Teresa Palmer) ที่ดูๆ ไปแล้ว แทบไม่มีความสำคัญใดๆ ต่อเนื้อเรื่องเลย
เน้นหนักในฉากกีฬาเอ็กซ์ตรีมกับธรรมชาติสุดอันตราย
นี่คงเป็นงานโชว์เคสครั้งใหญ่และน่าจะเป็นสิ่งที่คนรักกีฬาเอ็กซ์ตรีมน่าจะสมใจและชื่นชอบหนังเรื่องนี้กัน เพราะแต่ละภารกิจในหนัง พาเราไปยังสถานที่สวยงามต่างๆ บนโลก ที่มีสภาพอากาศอันสุดโต่ง ทั้งคลื่นกลางทะเลลึกอันสูงตระหง่านและรุนแรง ทั้งบนภูเขาสูงอันหนาวเหน็บที่เต็มไปด้วยหินและปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เหมืองทองคำบนภูเขาสูงชันที่ถูกระเบิดทิ้ง
และอีกหลายสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงจะเอาชีวิตไม่รอดแม้จะไม่ใช่คนธรรมดา
แต่ทุกๆ ฉากของหนังที่นำเสนอภาพของธรรมชาติกับมนุษย์เอ็กซ์ตรีม มันช่างสวยงาม เท่ น่าตื่นเต้น เท่าที่ดูรู้สึกได้ว่า เขาใช้ภาพจากการแสดงจริงๆ ของคน อาจใช้ซีจีมาช่วยบ้างแต่ก็ไม่น่าจะมากมายอะไร และพบว่า มันเหมาะมากที่จะรับชมในแบบ 3 มิติ
ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่า ธรรมชาตินั้นแสนยิ่งใหญ่ มนุษย์เพียงบางคนเท่านั้นที่พัฒนาและฝึกฝนตนสามารถเอาชนะความยากลำบากและขีดจำกัดของตัวเองได้ ทราบใดที่มนุษย์ไม่ไปทำลายธรรมชาติ เอ็กซ์ตรีมก็ถือเป็นกีฬาที่น่าชื่นชม
ฉากเหล่านี้ยืดยาวมาก และมันก็สวยงามมากเช่นกัน
พระเอกหล่อ ล่ำ หุ่นดี ดนตรีโจ๊ะ
นอกจากหนังจะหล่อด้วยการมีฉากน่าตื่นตาจากหัวข้อก่อนแล้ว หนังยังมีจุดดึงดูดสายตาสำหรับสาวๆ อย่างพระเอกหุ่นบึ้กอย่าง Luke Bracey/ลุค เบรซี่ ผมสีทองๆ ของเขา กับกล้ามเป็นมัดๆ ยามเขาถอดเสื้อออกคงจะทำให้สาวใจละลายกันไปไม่มากก็น้อย
แม้ว่าหลายคนจะบ่นว่ายังไงก็ไม่เท่าคีอานู รีฟส์ ก็ตาม
อีกจุดก็คงเป็นช่วงที่จอห์นนี่ ยูทาห์ ขึ้นเรือสำราญหลังรอดตายจากการโต้คลื่น ตอนนั้น ดนตรีเต้นรำสนุกเร้าใจมาก เสียดายบ้างที่มันอาจจะไม่มิกซ์มาจนกระหึ่มชัด ซึ่งนั่นก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะมันไม่ใช่หนังสำหรับการเสพดนตรีนี่นา
น่าเสียดายตรงบทและการเล่าเรื่อง
นับเป็นจุดโหว่ที่ใหญ่ทีเดียวสำหรับหนังเรื่องนี้ เมื่อส่วนอื่นๆ ของหนังนั้นดีมาทุกอย่างแล้ว แต่ถ้าเรื่องของบทและการตัดต่อดูเหมือนจะเป็นปัญหา เมื่อเขาเลือกที่จะเปลี่ยนแกนจากหนุ่มรักกีฬาท้าทายไปเป็นเอฟบีไอ แต่ดูเหมือนจะหนีไม่พ้นต้องนำความสามารถเฉพาะตัวมาใช้ในงาน
กลุ่มก๊วนกลุ่มยึดถือหลักโอซากิทั้งแปด มองประหนึ่งเหมือนสาวกที่กำลังเดินรอยตามศาสดา แต่เลือกที่จะเปลี่ยนให้เป็นในแบบของตนเอง เหมือนสาวกเลือกจะเปลี่ยนหลักคำสอนดั้งเดิมให้เป็นหลักคำสอนใหม่ พวกเขาเลือกที่จะเปลี่ยนการใช้เอ็กซ์ตรีมและหลักของโอซากิทั้งแปดเสียใหม่ ซึ่งตรงนี้ ตัวละครอธิบายอะไรเอาไว้ค่อนข้างน่าสับสนมากๆ
ที่เรารู้ก็คือ พวกเขาไม่สนใจความเสียหายที่จะเกิดกับคนอื่น พวกเขามองว่ามันไม่ใช่เส้นทางของพวกเขา คนอื่นต้องรับผิดชอบตนเอง และมองเพียงความสำเร็จของเส้นทางที่พวกเขาเชื่อว่าขีดมันด้วยตัวเอง มองไปก็เหมือนคนที่บิดเบือนความดีให้เป็นในแบบที่ต้องการ
มันอาจไม่ใช่ “ความดี” ที่แท้จริง
แต่ทว่าเหมือน ‘ปล้นข้ามโคตร’ มุ่งมั่นทุ่มเทไปที่การเล่าฉากเอ็กซ์ตรีมสุดเร้าใจแต่ถ่ายเดียว หลงลืมเรื่องราวเสียเกือบสนิท ปล่อยไอเดียโอซากิทั้งแปดให้ลอยไปลอยมาจนดูไร้แก่นสาร ทุกอย่างที่จอห์นนี่ทำในการสอดแนมจึงดูง่ายดายเกินไป และไม่มีอะไรให้น่าประหลาดในระหว่างทาง แม้ว่าหนังจะมีดีที่ฉากตื่นเต้นเอาชนะธรรมชาติกว่าครึ่งเรื่อง มีนักแสดงหนุ่มรูปหล่อหุ่นดีมาให้สาวๆ กรี๊ด มีการถ่ายภาพที่เต็มไปด้วยช็อตสวยๆ มากมาย ประกอบกับมีสาวสวยหุ่นดีพอมาสร้างสีสันให้ผู้ชมฝ่ายชายอยู่บ้าง
แต่มันกลับไม่ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงแง่มุมลึกๆ ในสิ่งใด ไม่ว่าจะความลึกและเสน่ห์ของตัวละคร หรือจะเป็นเรื่องราวที่ทำให้เราอินกับอะไรสักอย่าง ยังไงก็ตาม หากคุณดูหนังเรื่องนี้ด้วยจุดหมายจะพบกับฉากถ่ายสวยๆ แอ็คชั่นน่าตื่นตาตื่นใจ ก็น่าจะสมหวังไปบ้างไม่น้อย แต่ถ้าต้องการความดีงามที่ครบถ้วนในทุกด้าน
เรื่องบทอาจจะหยิบไม่ติดเท่านั้นเอง
ชื่อภาพยนตร์: Point Break / ปล้นข้ามโคตร
ผู้กำกับภาพยนตร์: Ericson Core
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Kurt Wimmer (screenplay), Rick King (story), W. Peter Iliff (story), Kurt Wimmer (story)
นักแสดงนำ: Teresa Palmer, Luke Bracey, Édgar Ramírez, Ray Winstone, Tobias Santelmann, Jaymes Butler, Max Thieriot, Clemens Schick, Matias Varela
ความยาว: 113 นาที
แนว/ประเภท: Action, Crime, Sport, Thriller
อัตราส่วนภาพ: 2.35 : 1
เรท: ไทย/น15+, MPAA/
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 10 ธันวาคม 2558
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Alcon Entertainment, DMG Entertainment, Ehman Productions, Mongkol Major
ปล้นข้ามโคตร
Point Break - 7
7
Point Break
เหมือน 'ปล้นข้ามโคตร' มุ่งมั่นทุ่มเทไปที่การเล่าฉากเอ็กซ์ตรีมสุดเร้าใจแต่ถ่ายเดียว หลงลืมเรื่องราวเสียเกือบสนิท ปล่อยไอเดียโอซากิทั้งแปดให้ลอยไปลอยมาจนดูไร้แก่นสาร ทุกอย่างที่จอห์นนี่ทำในการสอดแนมจึงดูง่ายดายเกินไป และไม่มีอะไรให้น่าประหลาดในระหว่างทาง แม้ว่าหนังจะมีดีที่ฉากตื่นเต้นเอาชนะธรรมชาติกว่าครึ่งเรื่อง มีนักแสดงหนุ่มรูปหล่อหุ่นดีมาให้สาวๆ กรี๊ด มีการถ่ายภาพที่เต็มไปด้วยช็อตสวยๆ มากมาย ประกอบกับมีสาวสวยหุ่นดีพอมาสร้างสีสันให้ผู้ชมฝ่ายชายอยู่บ้าง