รีวิวหนัง Nope ไม่ | สยองฟีลใหม่ สิ่งลึกลับบนฟ้า กับพี่น้องทำฟาร์มม้า

ผลงานของผู้กำกับอย่าง Jordan Peele มักเน้นสร้างอารมณ์ระทึกแกมสยองขวัญเรื่อยมา ด้วยฟีลลิ่งที่มีความเฉพาะตัวประมาณหนึ่ง ทำให้น่าสนใจว่า หนังอย่าง ‘Nope’ ที่มีชื่อไทยแบบเรียบง่ายและตรงตัวว่า ‘ไม่’ เรื่องนี้ เขาจะเล่ามันออกมาอย่างไร และแท้จริงแล้ว เขาต้องจะบอกเล่าสิ่งใดให้กับผู้ชมกันแน่

จากเรื่องราวที่พยายามปิดบังอย่างสุดๆ ในตัวอย่าง บอกกับเราเพียงว่าตัวเอกเป็นคู่พี่น้องที่มีปู่เทียดผู้เคยอยู่ในภาพเคลื่อนไหวชายผิวสีที่ขี่ม้ายาว 2 วินาทีคนนั้น แต่ในปัจจุบันพวกเขากลายเป็นเจ้าของคนใหม่ของฟาร์มเลี้ยงม้า และกำลังเจอกับเหตุการณ์ประหลาดบนฟากฟ้าเหนือพื้นที่ที่ตนเป็นเจ้าของ

เอาเป็นว่า เราไปเจอกับตัวอย่างและเรื่องย่อกันก่อนนะครับคุณผู้อ่าน

เรื่องย่อหนัง ‘Nope’

หนังเล่าถึง โอเจ เฮย์วูด (แดเนียล คาลูยา จากหนังเรื่อง ‘Get Out’ และคว้ารางวัลออสการ์จากหนังเรื่อง ‘Judas and the Black Messiah’ ด้วย) เอเมอรัล เฮย์วูด (กีกี พาล์มเมอร์ จากหนังเรื่อง ‘Hustlers’, ‘Alice’ รวมทั้งให้เสียงพากย์ไว้ในแอนิเมชัน ‘Lightyear’ ด้วย) ทั้งคู่อาศัยอยู่ท่ามกลางหุบเขาลึกอันโดดเดี่ยวในแคลิฟอร์เนีย หลังสูญเสียบิดาทำให้ต้องสืบทอดฟาร์มฝึกม้าที่กำลังประสบปัญหาหนัก และทั้งคู่ต่างต้องช่วยกันพยุงกิจการนี้ไว้ให้รอด

งานนี้ ทำให้พวกเขาต้องไปพบกับ จู๊ป พาร์ก (สตีเว่น ยอน จากหนังเรื่อง ‘Minari’, ‘Okja’) ชายหนุ่มเชื้อสายเอเชียผู้ดูแลกิจการสวนสนุกยุคคาวบอย

แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนโหมดไป จากสภาพของกิจการครอบครัวที่กำลังสาหัส พวกเขากำลังได้พบกับผู้มาเยือนที่น่าสะพรึงกลัว บางสิ่งที่ทำทีลับๆ ล่อๆ อยู่บนฟ้าหลังก้อนเมฆ ทั้งยังสังหารสิ่งมีชีวิตเบื้องล่างได้อีกต่างหาก งานนี้ทำให้พี่น้องพบเจอหนทางใหม่ในการนำพาภาวะเศรษฐกิจของพวกเขาให้รอดพ้นไปได้

รีวิวหนัง ‘ไม่’

ด้วยองค์ประกอบของเรื่องราว จริงๆ มันก็ควรจะออกมาเป็นหนังสยองขวัญที่น่าสะพรึงกลัวสักเรื่องหนึ่งเลยแหละ แต่ด้วยลีลาการเล่าของ Jordan Peele ด้วยแหละมั้งที่ทำให้มันออกมาเป็นอีกแนวหนึ่ง ให้ความรู้สึกในอีกแบบหนึ่ง ไม่เหมือนหนังสยองขวัญที่เคยๆ พบพาน ในความรู้สึกของผม ‘Nope (ไม่)’ ให้ความรู้สึกในด้านระทึกขวัญกับผมมากกว่าสยองขวัญ

สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่ายังมีความเป็นหนังสยองขวัญบ้าง ก็คงจะเป็นเลือดสีแดงกับเศษอวัยวะที่กระจุยกระจายอะไรแบบนั้น

เรื่องราวในหนังนั้นบอกเล่าถึงชีวิตของคู่พี่น้องที่กำลังเข้าตาจน เมื่อจู่ๆ ก็มาเสียพ่อไป เหลือธุรกิจฟาร์มม้าไว้ให้สืบทอด ทำให้โอเจต้องกลายเป็นครูฝึกม้าไปอย่างไม่ตั้งใจ และนั่นก็ทำให้พวกเขาเลือกทำกิจการฝึกม้าเพื่อเข้าฉากถ่ายหนัง แล้วในวันที่พวกเขากำลังจะไปไม่รอด ก็ได้พบว่า สิ่งแปลกประหลาดและน่ากลัวที่ซ่อนอยู่หลังก้อนเมฆนั้น มันเป็นทั้งการค้นหาสาเหตุการตายของพ่อและอาจเป็นหนทางทำเงินครั้งใหม่ให้กับพวกเขา

ระหว่างทาง Jordan Peele ใส่ข้อมูลบางอย่างที่ชวนให้สงสัยไม่หยุดหย่อน ไม่เว้นแม้แต่ภูมิหลังของจู๊ป หนุ่มที่รับซื้อม้าของสองพี่น้องไปใช้ในการแสดง เขาเคยมีอดีตบางอย่างที่ควรถูกนำมาเล่า [แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องตอนอื่นของหนังมั้ยนะ] หนังพยายามจะสร้างมุกน่าสะพรึงกลัวให้เราหัวใจเต้นตูมตามเป็นระยะ แต่บางครั้งก็มีความขี้เล่น แทรกมุกตลก ปั่นหัวคนดูได้ไม่เว้นวาย ซึ่งก็ได้ผลทีเดียว เพราะพวกเราต่างตื่นตะลึงและนึกสงสัยไปตลอดทางว่ามันคืออะไรและจะจบแบบไหน

ยอมรับเลยว่า ก่อนที่หนังจะเฉลยเนี่ยตื่นเต้นมาก แต่พอหนังเริ่มเฉลยก็รู้สึกเหวอไปเหมือนกันเพราะไม่คิดว่ามันจะมาแนวนี้ แม้มันอาจจะดร็อปๆ ลงมาหน่อยแต่จะยังพาตื่นตาได้อยู่

สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นกับหนังนอกเหนือจากบทที่พาสงสัยได้ตลอดเวลา ก็คงจะเป็นดนตรีประกอบที่ชวนระทึกได้ทุกวินาที ดูเหมือนจะเหมาะสมดีที่ได้ดูในโรงที่จอใหญ่เสียงกระหึ่มอย่าง IMAX ที่น่าสนใจในหนังอีกอย่าง ก็คือการกำกับสัตว์โดยเฉพาะม้าให้เล่นตามที่บทต้องการ แถมในหนังก็ยังแอบเล่าถึงคนหลังกล้องอีกด้วย

นอกเหนือจากนั้น ก็คงเป็นการเซ็ตโลกในหนังให้มันดูเหมือนเป็นโลกเก่าของคู่พี่น้อง เพราะเขาต้องอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าและหุบเขา ในบ้านหลังใหญ่ที่ดูจะย้อนยุค กับยังมีพื้นที่ของสวนสนุกธีมพาร์กสไตล์เวสเทิร์นที่ดูแปลกตา แต่มันก็เดินมาถึงยุคที่การถ่ายทำหนังก้าวหน้าถึงขั้นมีเทคนิคซีจีใช้กันแล้ว ส่วนผสมของมันจึงดูแปลกใหม่ มีกลิ่นอายความไซไฟระทึกขวัญ

แม้บทจะดูเล่นใหญ่หน่อยๆ แต่ก็มียังบางส่วนชวนกังขาว่าเขาจะหยิบมาเล่าเพื่ออิหยัง ต้องการให้ไขว้เขวหรือเปล่า หรือที่จริงแค่ได้แรงบันดาลจากหลายสิ่งเลยหยิบจับมาผสมรวมกันก็ไม่รู้

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง