ถ้าจะพูดถึงหนังไทยเวลานี้ คงต้องบอกว่ามันมีความหลากหลายกว่าเมื่อก่อนพอสมควร เนื้อหาเรื่องที่พูดหลากหลายขึ้นไม่พอ ยังมีผู้สร้างและทีมงานหน้าใหม่ที่กระโจนเข้ามาร่วมสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นด้วย หนึ่งในนั้นก็คือ บี ออน คลาวด์ ที่วันนี้เริ่มต้นนับหนึ่งในแวดวงหนังด้วยเรื่อง ‘แมนสรวง’ อาจเป็นชื่อที่ชวนตั้งคำถามในครั้งแรกที่ได้ยินนิดหน่อย แต่ฉุกใจให้รู้สึกอยากรู้ค่อนข้างมาก
หนังมันเกี่ยวกับอะไรนะ เมื่อดูจากประวัติของผู้สร้าง บี ออน คลาวด์ เคยประสบความสำเร็จมาแล้วจาก ‘KinnPorsche The Series’ (คินน์พอร์ช เดอะซีรีส์) ตอนนี้ ก็หันมาสร้างภาพยนตร์ไทยแนวดรามาลึกลับสอบสวน และได้ มาย ภาคภูมิ กับ อาโป ณัฐวิญญ์ แสดงนำ หลายคนอาจจะคิดไปแล้วว่ามันจะเป็นหนังวาย ซึ่งต้องบอกก่อนว่า เข้าใจผิดแล้ว แท้จริงมันเป็นหนังสายลับการเมือง
แถมเมื่อดูจากตัวอย่าง โปรดักชั่นก็ดูดีอย่างมากอีกด้วย!
เรื่องย่อหนัง ‘แมนสรวง’
หนังที่หยิบเอาช่วงปลายรัชกาลที่สามมาเป็นแรงบันดาลใจในการเล่าเรื่อง เมื่อ เขม (อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ จากเรื่อง ‘คินน์ พอร์ช เดอะ ซีรีส์’) ไพร่ลูกกำพร้าแถบหัวเมืองแปดริ้วที่เก่งกาจและชื่นชอบในการร่ายรำ เผชิญกับเหตุฆาตกรรมตรงหน้า แต่ไร้พยานหลักฐานที่จะบอกว่าตนไม่ได้ทำ ได้รับเงื่อนไขที่จะปลดเปลื้องความผิด(ที่ตนไม่ได้ก่อ) ด้วยการเข้าไปทำงานในสถานบันเทิงสุดโอ่อ่าแห่งพระนครอย่าง “แมนสรวง” เพื่อสืบหาเอกสารลับเกี่ยวกับการซื้อขายอาวุธและเปิดโปงพวกที่คิดกบฏ
เหมือนจะเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก แต่ถ้าทำสำเร็จ ก็จะเป็นการช่วยชาติบ้านเมือง ตัวเขาเองก็จะพ้นความผิด พ้นจากความเป็นไพร่ ได้รับยศและทวงคืนศักดิ์ศรี แถมยังได้ทำในสิ่งที่ชื่นชอบอีกต่างหาก จึงรับปาก และเข้าไปทำงานที่นั่นกับ ว่าน (บาส-อัศวภัทร์ ผลพิบูลย์ จากเรื่อง ‘คินน์ พอร์ช เดอะ ซีรีส์’) เพื่อนสนิท
เมื่อเขมและว่านแทรกซึมเข้าไปทำงานในนั้นได้สำเร็จ ก็ได้พบกับมือตะโพนที่ชื่อ ฉัตร (มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง จากเรื่อง ‘คินน์ พอร์ช เดอะ ซีรีส์’) ที่เขมเลือกจะบอกความจริงและขอให้ช่วยเหลือ, ฮ้ง (ต๋อง-ธนายุทธ ฐากูรอรรถยา จากเรื่อง ‘คินน์ พอร์ช เดอะ ซีรีส์’)) ลูกชายคนเดียวของเจ้าสัวเฉิง (ชาติชาย เกษนัส ผู้กำกับละคร ‘จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี’) ชายหนุ่มที่อนาคตจะได้สืบทอดดูแลกิจการ, เตียง (สายฟ้า ตันธนา) มือขวาของเจ้าสัวเฉิง และได้พบกับแม่ครูพิกุล (อร-อรอนงค์ ปัญญาวงศ์) ที่เคยทำงานเป็นนางละครในวัง ผู้มองเห็นแววของเขมจนเลือกให้รำเป็นตัวพระ
แต่งานสืบไปรำไปของเขมครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ หรือจะถูกเปิดโปงเองซะก่อน ต้องไปดูกันเองแล้วล่ะ
รีวิวหนัง ‘แมนสรวง’
หนังหยิบเอาบ้านเมืองในยุคหนึ่งที่ใกล้จะผลัดเปลี่ยนแผ่นดินมาเป็นแบ็คกราวด์ แล้วเล่าเรื่องออกมาในสไตล์หนังนักสืบ ยกสถานบันเทิงหนึ่งแห่งเป็นโลเกชันหลักในการเดินเรื่อง สถานที่แห่งนี้ ฉากหน้าคือแหล่งให้ความบันเทิงแก่ผู้คนที่มาพบปะ สังสรรค์ แต่ก็เป็นแหล่งของการเจรจาธุรกิจของเหล่าผู้มีอำนาจ พ่อค้า และชาวต่างชาติ ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดมีการต่อรองผลประโยชน์ต่างๆ เมื่อมีเหตุอันควรสงสัย จึงต้องใช้สายสืบเพื่อค้นหาหลักฐานมัดตัวผู้คิดคดกบฏต่อบ้านเมือง
ผู้ที่จะเข้าไปแทรกซึมได้อย่างแนบเนียนในโรงมหรสพ ก็ควรต้องเป็นผู้ที่รำได้ เพียงแต่ว่า ครานี้ ใช้คดีติดตัวที่ยังไม่อาจหักล้างได้สำเร็จมาเป็นข้ออ้างและเป็นเงื่อนไขต่อรองแกมบังคับให้ต้องทำตาม เขมและว่านกลายเป็นไพร่เมืองแปดริ้วที่จำต้องเข้าไปสืบหาเอกสารที่จะมัดตัวผู้คิดก่อกบฏอย่างไม่เต็มใจ แต่ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตไพร่คนหนึ่ง
คนที่เป็นไพร่มาตลอด คงไม่อยากจะเป็นไพร่ไปตลอดชีวิต อยากจะถีบตัวเองเปลี่ยนชนชั้นขึ้นมาบ้าง แรงผลักดันนี้มีผลต่อการตัดสินใจรับงานของเขมไม่น้อยเลย ขณะเดียวกัน มันก็ทำให้เขาได้อยู่กับสิ่งที่ชอบด้วย แต่การจะสืบเรื่องสำคัญกันเพียงลำพังกับว่านก็อาจไม่คืบไปไหน จึงจำเป็นต้องหาคนมาช่วยเหลือ และเขมเลือกฉัตร มือตะโพนเชื้อสายจีนมาเข้าร่วม แม้เป็นความเสี่ยงอยู่มิใช่น้อย แต่การได้ผู้มีความรู้ด้านภาษาต่างประเทศก็อาจทดแทนกันได้
สถานบันเทิงแห่งนี้เป็นของคนจีนที่เข้ามาตั้งรกรากและทำมาหากินบนผืนดินไทย ในช่วงเวลานั้น ก็มีการซ่องสุมของกลุ่มคนจีนที่ถูกเรียกว่า ตั้วเหี่ย ที่มีชื่อเสียงด้านการก่อคดีปล้นชิงในช่วงปลายรัชกาลที่ 3 อันเป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองกำลังไม่สงบและมีวี่แววว่าจะเกิดการก่อกบฏขึ้น บทหนังจึงหยิบเรื่องพวกนี้มาใช้ในการเล่าเรื่อง
เรื่องราวดำเนินไปในสไตล์หนังสืบสวนแต่อยู่ในธีมย้อนยุค ตัวเอกต้องทั้งทำงานไป ร่ายรำไป และสืบสวนไป ในบริบทที่มีความเป็นไทยอย่างเต็มเปี่ยม บทหนังสร้างความน่าสงสัยคลางแคลงใจในหลายตัวละคร ให้คนดูคาดเดาไประหว่างเรื่องราวว่า แท้จริงเป็นใครกันแน่ที่คิดก่อกบฏ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหนังแนว whodunit ที่มีความพลิกผัน พาคนดูไปทางโน้นทีทางนี้ที ทำให้พวกเขาต้องตอบคำถามในหัวตัวเองด้วยว่า ถ้าเป็นตัวเขมในเรื่อง ควรจะเลือกทางไหนดี แถมตอนท้าย ราวกับผู้เขียนบทมองเห็นการเมืองอย่างทะลุปรุโปร่ง เพราะมันช่างเข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันซะจริงๆ
แม้บางช็อตในเรื่องจะดูเล่นใหญ่จนคล้ายละครเวทีและเกินกว่าจะเป็นหนังไปบ้าง แต่ด้วยโปรดักชันที่ยอดเยี่ยม ละเอียดลออในการสร้างฉากที่ดูสมจริง มุมกล้อง ภาพที่คมชัดและการปรับสี รวมไปถึงดนตรีประกอบ ทำให้หนังออกมาดูดีไปหมด แถมเรื่องนี้ การันตีงานภาพโดยเจ้าของรางวัลกำกับภาพยอดเยี่ยมจาก ‘มะลิลา’ อีกต่างหาก
นอกจากความครบเครื่องของหนังแล้ว ‘แมนสรวง’ ยังมีนักแสดงที่โดดเด่นไม่แพ้บทและโปรดักชัน แต่ละคนต่างทำหน้าที่ได้ดี โดยเฉพาะ อาโป ที่เตรียมร่างกายให้ดูเป็นไพร่ที่ชื่นชอบนาฏกรรม และฝึกฝนจนดูเชื่อว่านี่คือชายผู้มีทักษะด้านการร่ายรำของจริง อีกอย่างคือ แม้ Be on Cloud จะเติบโตมาจากความเป็นวาย แต่นี่ไม่ใช่หนังวาย อาจจะมีบางโมเมนต์ที่ชวนให้จิ้นแต่หนังก็ไม่ได้ไปทางนั้น หากเน้นหนักเรื่องการเป็นหนังนักสืบการเมืองอย่างตั้งอกตั้งใจ
แต่อีกจุดที่น่าจะเห็นเหมือนๆ กับหลายคนก็คือ มันยังมีฉากการแสดงบนเวทีน้อยไปนิดนะ
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | แมนสรวง / Man Suang |
กำกับ | ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช, พันพัสสา ธูปเทียน, ชาติชาย เกษนัส |
เขียนบท | ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช, พันพัสสา ธูปเทียน, ปริดา มโนมัยพิบูลย์, ภาณุวัฒน์ อินทวัฒน์ |
แสดงนำ | อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์, มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง, ต๋อง – ธนายุทธ ฐากูรอรรถยา, บาส-อัศวภัทร์ ผลพิบูลย์, อร-อรอนงค์ ปัญญาวงศ์, ตั้ว-ประดิษฐ ประสาททอง, สายฟ้า ตันธนา, ชาติชาย เกษนัส |
แนว/ประเภท | ดราม่า, ประวัติศาสตร์, ลึกลับ, ระทึกขวัญ |
เรท | – |
ความยาว | 120 นาที |
ปี | 2023 |
สัญชาติ | ไทย |
เข้าฉายในไทย | 24 สิงหาคม 2023 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | Be on Cloud |
คะแนนหนัง แมนสรวง
พล็อตและบท - 8
การแสดง - 8
การดำเนินเรื่อง - 8
เพลงและดนตรีประกอบ - 8
งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชัน - 9
8.2
Man Suang
หนังไทยที่ใช้บริบทความเป็นไทย นำเหตุในอดีตมาเป็นเบื้องหลังที่ผลักดันการกระทำของตัวละคร เดินเรื่องในแบบหนังนักสืบ ทำให้คนดูรู้สึกระแวงหลายตัวละคร แถมยังพาไปพบกับเหตุการณ์ที่ต้องถามตัวเองว่าจะเลือกทางไหน ปิดท้ายด้วยไอเดียที่ชวนอึ้งเพราะมันเข้ากับเหตุบ้านการเมืองในประเทศอย่างพอเหมาะพอเจาะเลยแหละ