ปี 2019 เคยมีหนังไทยที่หยิบตำนานกระสือ-กระหังมาเล่าใหม่ให้กลายเป็นหนังแฟนตาซีสยองขวัญเคล้าโรแมนติก และสร้างกระแสตอบรับที่ดียิ่ง ผ่านมาถึงปี 2023 หนังเรื่องเดิมกำลังได้รับการสานต่อ เล่าถึง 30 ปีถัดจากเหตุการณ์ในภาคก่อนหน้า ในภาคต่อที่มีชื่อว่า ‘แสงกระสือ 2’ หรือ ‘Inhuman Kiss 2’
ครั้งนี้ เนรมิตรหนัง ฟิล์ม, ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์ม ร่วมกันสร้าง โดยมี ฉายแสง แอด.เวนเจอร์ เป็นผู้จัดจำหน่าย ส่วนผู้กำกับเปลี่ยนมือมาเป็น ปภังกร ปุญจันทรักษ์ โดยตัว เจเจ กฤษณภูมิ นักแสดงนำได้เคยเปิดเผยว่า กระสือในภาคนี้จะมีความจับต้องได้มากขึ้น มีความเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น ตีความว่าเป็นปรสิต เป็นเชื้อโรคชนิดหนึ่ง มีความเข้ากับยุคสมัยนี้มากขึ้น อันนี้อ่านจากที่เขาเล่ามานะครับ
จากนี้ ก็ได้เวลาเดินเข้าไปสัมผัสกับกระสือภาคต่อกันด้วยตัวเองแล้วล่ะ
เรื่องย่อหนัง ‘แสงกระสือ 2’
มันเป็นเรื่องราวใน 30 ปีต่อมา น้อย (กฤษดา สุโกศล แคลปป์ จากหนังเรื่อง ‘ความสุขของกะทิ’, ‘ขุนพันธ์’) ผู้มีเชื้อกระสืออยู่ในตัว เติบโตเป็นหนุ่มใหญ่และเลี้ยงดู สาว (นิ้ง ชัญญา แม็คคลอรี่ย์ จากซีรีส์เรื่อง ‘เด็กใหม่ ซีซัน 2’) ลูกสาวผู้เติบโตมาพร้อมกับเชื้อร้ายเช่นกัน โดยน้อยร่วมกับ บาทหลวงออกัสติน (โจ คัมมินส์) ช่วยกันคิดค้นตัวยาที่สกัดจากว่านกระสือเพื่อในใช้รักษา ทว่าดูจะไม่ค่อยได้ผลนัก
ระหว่างที่สาวเติบโตขึ้น เรื่องราวความรักก็เติบโตขึ้นเช่นกัน สาวเป็นเพื่อนกันกับ คล้าว (เจเจ กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม จากละครเรื่อง ‘เลือดข้นคนจาง’) หนุ่มเผือกผู้ที่มีจิตใจอ่อนโยนแต่แปลกแยก เขาคือบุตรบุญธรรมของบาทหลวงที่มีความผิดปกติของร่างกายตั้งแต่กำเนิด ความรักของทั้งสองค่อย ๆ ผลิบานเช่นเดียวกับเชื้อร้ายในตัวของสาว
อีกด้านหนึ่ง เชื้อกระสือของสาวก็ยังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนต่างชาติ พวกเขาถึงกับจ้างวานให้ พันธุ์ (ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม จากหนังเรื่อง ‘Homestay’ และ ‘ขุนแผน ฟ้าฟื้น’) อดีตทหารรับจ้างในสงครามเวียดนามให้ออกตามไล่ล่าเธอ และนี่คือเรื่องราวย่นย่อที่พอจะทำให้ทุกคนได้รู้ว่าภาคนี้กำลังจะเล่าถึงอะไรบ้าง
รีวิวหนัง ‘แสงกระสือ 2’
หนังที่บอกตัวเองว่าเป็นภาคต่อของ ‘แสงกระสือ’ ภาคแรก แต่ดูเหมือนทีมงานจะเปลี่ยนใหม่ยกชุด หนังเล่าเรื่องใน 20-30 ปีถัดมา โดยมีตัวคาแรกเตอร์เดียวที่เชื่อมต่อกับภาคแรก นั่นคือ น้อย ผู้ชายที่เจ็บปวดกับความรักและการสูญเสียในอดีต ซึ่งภาคนี้ไม่มีการอารัมภบทหรือบอกเล่าเท้าความใดๆ ผู้ชมจึงได้รู้แค่เพียงเขาคือชายผู้มีเชื้อกระสืออยู่ในตัว เมื่อเขาได้พบคนรักใหม่ก็ต้องประสบชะตากรรมเดิม เขาสูญเสียดาริน ภรรยาสุดที่รักไปและเหลือไว้เพียง สาว ลูกสาวที่ก็มีเชื้อกระสืออยู่ในตัวเช่นกัน คราวนี้ เขาตั้งใจจะช่วยชีวิตสาวให้พ้นจากวิบากกรรมที่วันหนึ่งจะต้องกลายเป็นกระสือออกหากินยามค่ำคืน จึงร่วมมือกับบาทหลวงที่คิดค้นยาเพื่อควบคุมเชื้อไม่ให้แผลงฤทธิ์
แต่เหมือนชะตากรรมปกติของหญิงสาวที่เป็นกระสือ เธอจะต้องได้พบรักกับชายหนุ่มที่คราวนี้เป็น คลาวด์ หรือที่ถูกเรียกกันว่า คล้าว ซึ่งเขาก็คงลูกชายของบาทหลวงนั่นเอง ทั้งสองพบกันในช่วงที่ยังเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นก่อนจะเจอกันอีกครั้งใน 10 ถัดมา ไอเดียในหนังดน่าสนใจ เมื่อมันเล่าถึงคล้าวที่มาภาวะผิวเผือก ที่ส่งผลให้เขากลายเป็นคนแปลกแยกจากสังคม ไม่ต่างจากสาวที่อยู่แต่ในบ้านกับพ่อ แทบไม่ได้เจอใคร ถ้าพ่อไม่ขับรถพาไปหาบาทหลวง
ผมจึงรู้สึกชอบช่วงต้นของภาคนี้มากหน่อย เพราะหนังให้เวลากับสองตัวละครได้พัฒนาความสัมพันธ์ต่อกัน ผิดกับภาคแรกที่เล่าตอนเด็กเพียงช่วงสั้นก็ตัดไปเล่าตอนโตเลย
น่าสนใจดีที่หนังเล่าถึงไอเดียของคนที่เกิดมาแปลกแยกแตกต่าง แต่ก็ดูเหมือนเรื่องราวถัดมา ไม่ได้นำสิ่งนี้มาใช้เท่าใดนัก ขณะเดียวกัน สำหรับคนที่ดูภาคแรกมาก่อน การเลือกใช้ พี่น้อย กฤษดา แคลป์ มาเพื่อสานต่อบทน้อยที่ โอบ โอบนิธิ เคยสวมบทบาทนี้ไว้ ในความรู้สึกของนายแพท มันดูคนละทาง ทำให้รู้สึกไม่ต่อเนื่อง แม้พี่น้อยจะเล่นไว้ได้ดีก็ตาม
ความโดดเด่นของหนังภาคนี้มีเป็นส่วนๆ ไป อย่างเช่น งานถ่ายภาพที่จัดวางมุมไว้สวยดี แต่ก็มีบางช็อตที่ดูแปลกๆ เหมือนคนทำยังมือไม่นิ่งพอ จึงควบคุมงานได้ไม่สม่ำเสมอ โปรดักชันก็ไม่เลว งานแต่งหน้าเจเจให้เป็นคนผิวเผือกได้อย่างแนบเนียน การตีความใหม่ๆ และซีจีที่ดูดีขึ้นมาก ถือเป็นอีกส่วนที่น่าชื่นชม ด้านเพลงประกอบที่ได้ บอย โกสิยพงษ์ และ ตรัย ภูมิรัตน มาแต่งและให้ น้อย พรู เป็นผู้ถ่ายทอด ต้องเรียกว่าเพราะมาก ส่วนดนตรีประกอบก็ค่อนข้างพิถีพิถัน แต่บางจุดก็ดูไม่เข้ากับภาพ
บางอย่างที่เคยทำไว้ได้ดีในภาคก่อน แต่กลับขาดหายไปในภาคนี้ คือ การสร้างความขัดแย้งในจิตใจของตัวละคร ที่ทำให้พวกเขาต้องตัดสินใจเลือก ซึ่งมันทำให้คนดูอินไปกับบท ภาคนี้มันหายไปหมดจนไม่อาจอินกับตัวละครใดได้เลย
สิ่งที่น่าเสียดายของการกลับมาทำภาคนี้ของหนังกระสือกระหังเรื่องนี้ คงเป็นการเดินเรื่อง ความต่อเนื่องของแต่ละฉาก ที่มันดูไม่ลื่นไหล เรื่องราวเดินช้าเนือย ไม่มีจุดพลิกผันหรือสร้างแรงถีบใดๆ และบทหนังที่ไม่ชวนให้คนดูรู้สึกอินหรือเกาะเกี่ยวไปกับตัวละครตัวไหน ที่น่าเสียดายมากกว่านั้น คือ หนังได้นักแสดงชุดที่น่าฝากความหวัง มีทั้ง ชัญญา แม็คคลอรี่ย์, กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม, กฤษดา แคลปป์ และ นพชัย ชัยนาม แต่ละคนต่างก็ทำได้ดีเป็นส่วนใหญ่ แต่ด้วยปัจจัยอย่างบทหนัง การเดินเรื่อง การตัดต่อ ทำให้ความดีงามแทบไม่มีความหมาย
หนังเดินเข้าสู่ไคลแมกซ์ในช่วงท้ายหลังใช้เวลาในการปูเรื่องที่เนิ่นนาน ก่อนจะพบว่ามันไม่น่าตื่นเต้นเท่าที่ควร ฉากต่อสู้ในช่วงท้ายก็ดูประดักประเดิดเกินกว่าจะมองข้าม สุดท้าย เรื่องราวที่ไม่ค่อยไปไหนมาเนิ่นนานก็จบอย่างไม่ได้คลี่คลายอะไร
หลังเครดิตปิดจบ หนังยังมีฉากแถมโผล่มาตอนท้าย คล้ายจะบอกเป็นนัยๆ ว่า อาจมีภาคสาม
บทความที่เกี่ยวข้อง
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | แสงกระสือ 2 / Inhuman Kiss 2 / Inhuman Kiss: The Last Breath |
กำกับ | ปภังกร ปุญจันทรักษ์ |
เขียนบท | ปภังกร ปุญจันทรักษ์, …, …, … |
แสดงนำ | นิ้ง ชัญญา แม็คคลอรี่ย์, เจเจ กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม, กฤษดา สุโกศล แคลปป์, โจ คัมมินส์, ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม |
แนว/ประเภท | ดราม่า, สยองขวัญ, โรแมนติก |
เรท | |
ความยาว | 123 นาที |
ปี | 2023 |
สัญชาติ | ไทย |
เข้าฉายในไทย | 30 มีนาคม 2023 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | เนรมิตรหนัง ฟิล์ม, ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์ม, ฉายแสง แอด.เวนเจอร์ |
แสงกระสือ 2
พล็อตและบท - 6
การแสดง - 7
การดำเนินเรื่อง - 6
เพลงและดนตรีประกอบ - 7
งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชัน - 7.5
6.7
Inhuman Kiss 2
ยังคงสานต่อการตีความตำนานกระสือ-กระหังให้กลายเป็นเรื่องราวใหม่ๆ ในเชิงโรแมนติก ทว่า หนังเล่าได้เนือยและพาบทหนังไปไกลเกินกว่าจะรู้สึกอินและเกาะเกี่ยวอะไรไปกับหนัง บางจุดถือว่าตั้งใจและประณีตดี ทั้งด้านงานสร้าง งานถ่ายภาพ ซีจี รวมทั้งเพลงและดนตรีประกอบ