รีวิวหนัง Hidden Face เล่ห์ร้อนซ่อนชู้ | คลายปมห้องลับ เผ็ดพริกหมดสวน

เมื่อวาทยากรหนุ่มแอบแซ่บสาวคนใหม่ แต่แฟนสาวมองเห็นทุกอย่างจากห้องลับในบ้าน เรื่องราวสุดร้อนฉ่าจากหนังเกาหลีเรท R ที่พลาดไม่ได้ ‘Hidden Face‘ หรือชื่อไทย ‘เล่ห์ร้อนซ่อนชู้‘ หลังสร้างปรากฏการณ์สร้างยอดผู้ชมสะสมในประเทศบ้านเกิดผ่าน 1 ล้านคนไปแล้ว ก็ถึงเวลาเข้าฉายในคนไทยได้ดูกัน โดยผู้กำกับที่หวนกลับมาทำหนังอีกครั้งในรอบ 10 ปี กับนักแสดงที่คุ้นหน้าแต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เจอในบทสไตล์นี้

คิดเห็นเช่นไรกับหนังเกาหลีเรื่องนี้?

เป็นหนังเกาหลีเรทอาร์ที่หยิบพล็อตเดิมดัดแปลงมาอีกที ปรับเอาเรื่องคู่รักที่ติดอยู่ในห้องลับมาปรับให้มีความสดใหม่ แม้จะไม่เคยผ่านตาเวอร์ชันเก่ามาก่อน แต่ก็พบว่า เวอร์นี้แซ่บมาก ด้วยเรื่องความสัมพันธ์ที่เร่าร้อนแต่หมิ่นเหม่ต่อศีลธรรม ค่อยๆ คลี่ออกมาให้ผู้ชมรับรู้แรงจูงใจและการกระทำผ่านการเล่าเรื่องที่น่าติดตามจากมุมมองของ 3 ตัวละครหลัก ลีลาการเล่าไม่รีบเร่ง เล่นกับอารมณ์คนดู พาไปเจออะไรที่เซอร์ไพรส์และสะใจอยู่ในที

เมื่อผสมกับเลิฟซีนแต่เผ็ชพริกหมดสวน ก็ยิ่งกลายเป็นอะไรที่น่าตื่นตา

เรื่องย่อซีรีส์ ‘Hidden Face’

เรื่องราวซองจิน (รับบทโดย ซงซึงฮอน จากซีรีส์ ‘Black Knight’) วาทยกรที่นำวงออร์เคสตรา เขาหมั้นหมายกับนักเชลโลสาว ซูยอน (รับบทโดย โชยอจอง จากหนังเรื่อง ‘Parasite’) เธอเป็นหนึ่งสมาชิกในวงของเขา แต่ยังไม่ทันได้แต่งงาน เธอก็มาหายตัวไปโดยทิ้งไว้เพียงคลิปข้อความที่ถูกบันทึกไว้ล่วงหน้า

ซองจินรู้สึกเจ็บปวดกับการหายตัวไปอย่างกะทันหันของซูยอน ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น มีจู (รับบทโดย พัคจีฮยอน จากหนังเรื่อง ‘The Divine Fury’ และซีรีส์ ‘Flex x Cop’) ก็มาสมัครเข้าวงและกลายเป็นนักเชลโลตัวแทนของซูยอน ในระยะเวลาอันสั้นมากนั้น ซองจินและมีจูตกอยู่ในแรงปรารถนาของกันและกัน พวกเขากระทำสิ่งที่ไม่อาจให้อภัย

สิ่งที่ชวนตกใจยิ่งกว่า คือซูยอนที่ถูกเข้าใจว่าหายตัวไป แท้จริงติดอยู่ในห้องลับในบ้านตัวเอง เธอมองเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากของคนทั้งหลายที่อยู่รายรอบตัวเธอ

รีวิวหนังเกาหลี ‘เล่ห์ร้อนซ่อนชู้’

ความจริงสิ่งหนึ่งที่เราได้รู้ก็คือ มันเป็นหนังที่ถ่ายทอดและดัดแปลงมาจากหนังสเปนปี 2011 ที่ชื่อ ‘The Hidden Face’ ผลงานการเขียนบทของ Hatem Khraiche ซึ่งนายแพทเองก็ยังไม่เคยได้ดูเวอร์ชันนั้น ทำให้ ‘เล่ห์ร้อนซ่อนชู้’ ของเกาหลีใต้คือเวอร์ชันแรกที่ได้สัมผัส หนังที่ได้ โนด็อก และ ฮงอึนมี มาเขียบทและส่งให้ คิมแดอู เป็นผู้กำกับ ผลงานสร้างชื่อของเขาคือ ‘Forbidden Quest’ (2006), ‘The Servant’ (2010) และ ‘Obsessed’ (2014) แถมนี่ยังเป็นการกลับมากำกับครั้งแรกในรอบ 10 ปีอีกต่างหาก

กับเรื่องราวที่มองเผินๆ อาจเป็นหนังแนวลึกลับ ชวนฉงนค้นหาคำตอบ ระคนด้วยกลิ่นระทึกขวัญ แต่เอาเข้าจริงก็มีความปั่นหัวคนดูปะปนอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

มันเล่าเรื่องของกลุ่มคนในวงการออร์เคสตรา มีพระเอกคือซองจินที่เป็นมาเอสโตร (หรือที่ซับไตเติลใช้คำว่า วาทยากรอาวุโส) กำกับและคุมวงที่กำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ ซูยอนแฟนสาวของเขาเป็นมือเชลโลของวง ที่มีแพลนจะแต่งงานแต่จู่ๆ ก็หายตัวไป ในวันที่พระเอกยังไม่รู้จะทำยังไง ก็เจอคนใหม่อย่างมีจู ที่เข้ามาในฐานะมือเชลโลตัวแทน เผลอแป๊บเดียว เธอกับเขาก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งบนเตียงที่ควรจะเป็นของอีกคน

ทีแรก คนดูจะไม่รู้เลย แต่สงสัยอยู่ในใจด้วยหลายสิ่งบอกใบ้ คือสิ่งที่หนังจะเฉลยในช่วงถัดมา (แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นสปอยล์เพราะตัวอย่างหนังได้บอกไว้หมดแล้ว) ก็คือ บ้านหลังนี้มีห้องลับ และคนที่เข้าไปอยู่ในนั้นก็คือ ซูยอน แฟนของพระเอกนั่นแล

เรื่องราวจากนั้นคงเล่าอะไรไม่ได้ เพราะมันจะกลายเป็นสปอยล์ไปซะทุกอย่าง บอกใบ้ให้แค่เพียงว่า มันเป็นหนังที่จะพาคนดูหัวหมุน เมื่อพวกเขาไม่อาจคาดเดาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้อมูลที่ได้รับก่อนหน้า ปะทะกับข้อมูลใหม่ที่ตามมาทีหลัง เรื่องราวที่พลิกไปมาชวนประสาทแดก ผสมปนเปด้วยความแซ่บของลีลารักชนิดถึงพริกถึงขิง เผ็ดเร่าร้อนจนพริกหมดสวนก็ยังไม่พอ

ที่จะบอกได้คือ หนังใช้กลวิธีการเล่าสลับมุมมองตัวละคร ทำให้เรามองเห็นทุกอย่างได้ไม่ทั้งหมด แต่จะค่อยๆ เข้าใจองค์รวมของมันมากขึ้นตามเวลาของหนัง ที่แน่ๆ มันตั้งใจเล่าเรื่องความสัมพันธ์อันหมิ่นเหม่ต่อศีลธรรม ไล่ไปถึงรสนิยมทางเพศกันเลยทีเดียว

หนังเกาหลีระดับเรท R ที่ชักชวนให้ พัคจีฮยอน ได้โชว์ทั้งสายตาสีหน้า การแสดง เรือนร่างและลีลาเลิฟซีนที่พาให้หนังร้อนฉ่าจนไม่อาจพลาดไปสักวินาที แม้เราจะเคยผ่านตากับผลงานของเธออย่างซีรีส์แนวดนตรีสายออร์เคสตราอย่าง ‘Do You Like Brahms?’ หรือแนวกลับชาติมาแก้แค้นอย่าง ‘Reborn Rich’ ก็ยังไม่เคยคิดว่าจะได้เจอเธอในบทบาทสไตล์นี้

แม้นั่นคือเป็นสิ่งปรุงรสให้หนังชวนตื่นตา หากบทหนังต่างหากที่ทำให้น่าติดตาม ระหว่างดูก็อาจชวนสงสัยอยู่บ้างว่า การที่อีกตัวละครถูกขังอยู่ในห้องลับ เขาจะเอาตัวรอดและสื่อสารออกมาได้อย่างไร แม้จะมีหนืดไปบ้าง แต่บทหนังก็พยายามจะใส่เหตุและผลจนเราเชื่อ เชื่อทั้งเหตุการณ์แวดล้อมและแรงจูงใจ ตัวละครต่างรุกรับกันอย่างสนุกสะใจ แม้จะรู้สึกบ้างบางเวลาว่าบางตัวละครทำไมจึงเฟดหาย ขณะเดียวกัน หนังก็เปิดให้คนดูได้คาดเดาว่ามันจะจบลงอย่างไร

ซึ่งก็บอกตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับการเลือกจบในแนวทางนี้

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง