ในบางครั้ง เราก็ได้ดูหนังที่ใครๆ เขาว่ามัน “ดี” หลังๆ คนอื่น ไม่ใช่อะไรนัก เรามันเป็นคนที่หาอะไรมาใส่ตัวเยอะแยะ เยอะจนไม่มีเวลามานั่งดูหนัง บางทีเราก็ใช้เวลาไปกับเรื่องโน้นเรื่องนี้เสียจนไม่ได้ดูหนังที่อยากจะดูเสียที เอาละ วันนี้ได้โอกาสแล้ว เปิดดูหนังที่รอคอยกันดีกว่า ‘Hell or High Water’
มันเป็นหนังที่เคยมีชื่อเข้าชิง 4 รางวัลออสการ์แต่ชวดทุกรางวัล เป็นหนังที่กำกับโดย David Mackenzie ชาวสก็อตแลนด์ที่ผมไม่เคยได้ดูหนังของเขามาก่อนเลย ยังไงวันนี้ก็ได้ดูแล้ว
ขอหยิบมาเหลาให้อ่านกันนิดนึงก็แล้วกัน
เรื่อง ‘Hell or High Water’ มันเป็นยังไงเหรอครับ?
มันก็เป็นเรื่องของสองพี่น้องที่ต่างกันสุดขั้ว คนหนึ่งขี้คุก อีกคนก็ดีเกิ๊น สองคนนี้ตะลุยขับรถออกไปปล้นธนาคารในเท็กซัสด้วยจุดประสงค์บางอย่าง
คนพี่เขาคือ แทนเนอร์ (Ben Foster) ส่วนคนน้องก็คือ โทบี้ (Chris Pine) การปล้นที่ดูเล็กๆ ในธนาคารที่แสนจะปล้นง่ายดาย
แต่ก็ใช่ว่างานนี้หมูๆ เพราะเมืองนี้ยังมีคาวบอยแก่ที่สุดเก๋าเรื่องสืบคดี เขาคือ มาร์คัส (Jeff Bridges) ที่มีคู่หูเป็นอินเดียนแดง (Gil Birmingham) มือเก๋าคนนี้ดูท่าจะรู้ทันทุกอย่างของสองโจรปล้นธนาคาร เขาตามสืบไปทุกที่ที่เกิดเหตุ
แล้วสองหนุ่มต่างขั้วนั่นจะรอดพ้นเงื่้อมของชายแก่สุดเก๋าไปหรือไม่ ลองทายดู
รีวิวหนัง ‘ปล้นเดือดล่าดุ’ หน่อยดีกว่า
สิ่งที่เห็นได้ชัดจากหนังเรื่องนี้เลยคือความเป็นหนังคาวบอย ภาพที่ถูกย้อมสีให้อมเหลือง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแถบเท็กซัส ตัวละครที่แต่งตัวและสวมหมวกคาวบอย วิธีคิดในแบบคนเท็กซัสที่ดูบ้านนอกแต่จริงใจและตรงๆ ทำให้ผมประทับใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้
เริ่มต้นเรื่องนั้นอาจจะไม่ทำให้เราเข้าใจเรื่องมากนัก แม้จะเล่าเรื่องเพิ่ม แต่ผ่านไปกลางเรื่องก็ยังงงๆ อยู่ และแม้เมื่อหนังจบลง อาจจะมีบางส่วนที่เข้าใจไม่เต็มร้อยอยู่บ้าง
แต่ก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้อยู่ดี
ในความรู้สึกผม ‘ปล้นเดือดล่าดุ’ เป็นหนังที่ตีแผ่ความจนได้ดีในรูปแบบที่แตกต่างออกไป สองเขือนั่นมีเหตุผลในการกระทำของตัวเอง และหนังก็เหมือนจะแสดงออกถึงความโกรธขึ้งในระบบธนาคารอย่างโจ่งแจ้ง สังเกตได้จากป้ายแบนเนอร์ข้างถนนที่พูดอยู่เรื่องเดียว
และมันคือเหตุผลของการกระทำทั้งหมด
แต่จุดจบของการกระทำของพวกเขาเป็นสิ่งที่หนังพาเราไปติดตามหา มันมีความชวนอึ้งพอสมควร สะเทือนใจพอประมาณแม้เราจะพอเดาออกว่าเรื่องมันจะไปจบลงอย่างไร ขณะเดียวกัน หนังก็มีพื้นที่พอให้เรานั่งลุ้นว่า พวกเขาจะรอดหรือไม่รอดในช่วงเวลานั้นๆ ไม่เลวเลยแหละครับ
หนังมีอารมณ์ยียวนและเสียดสีแสบๆ คันๆ แทรกอยู่ทั้งเรื่อง มีความสะใจบางอย่างกับระบบการธนาคารที่แทรกอยู่ในนั้น แต่สิ่งที่จะติดอยู่บ้างคือความเนิบนิ่งที่คอยสลับหน้าที่กับเหตุการณ์ชวนลุ้นระทึก แล้วมันก็จะกลับไปเนิบนิ่งใหม่ในบทสนทนาที่ดูสมจริงเหมือนคนจริงๆ คุยกัน
จะว่าไปแล้ว มันก็ไม่ใช่ข้อเสียของหนังหรอกนะถ้าเรารับมันได้
แล้วหนังมันก็ดำเนินไปจนถึงตอนท้าย ยังไม่วายให้เราได้ลุ้นว่า ตกลงมันจะจบยังไงหว่า สมองคิดไปได้ก่อนแล้ว เป็นไปได้สองทาง แล้วแต่ว่าเขาจะเลือกจบทางไหนนั่นเอง
หนังมีมุมมองด้านภาพที่สวยงามมาก จัดองค์ประกอบได้ดีเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะภาพคนสองคนกำลังสนทนากัน หรือภาพของทุ่งหญ้ากว้างไกลกับถนนที่มีรถวิ่งไป
มีจุดหนึ่งที่คิดว่าหนังกำลังแดกดันสังคมอยู่ คืออเมริกาเคยเป็นที่อยู่ของอินเดียนแดง ก่อนพวกผิวขาวจะมายึดครอง และตอนนี้เหมือนจะมีชนเผ่าใหม่กำลังจะมายึดครองสิ่งที่คนขาวได้มาเสียแล้ว คนขาวหลายคนก็ยากจนเพราะถูกชนเผ่าใหม่นี่แหละที่ยึดครองไป เรื่องราวในหนังมันคือการเอาคืนแบบเจ็บๆ พร้อมๆ กับการบอกกับโลกกลมๆ ใบนี้ว่า
“ความจนมันคือโรคร้าย และหลายคนติดเชื้อมันเข้าแล้ว”
ชื่อภาพยนตร์: Hell or High Water / ปล้นเดือดล่าดุ
ผู้กำกับภาพยนตร์: David Mackenzie
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Taylor Sheridan
นักแสดงนำ: Chris Pine, Ben Foster, Jeff Bridges, William Sterchi, Dale Dickey, Gil Birmingham
ความยาว: 102 นาที
แนว/ประเภท: Crime, Drama, Thriller, Western
อัตราส่วนภาพ: 2.35 : 1
เรท: ไทย/, MPAA/R
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย:
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Film 44, LBI Productions, OddLot Entertainment, Sidney Kimmel Entertainment, CBS Films
ปล้นเดือดล่าดุ
Hell or High Water - 7.9
7.9
Hell or High Water
ในความรู้สึกผม 'ปล้นเดือดล่าดุ' เป็นหนังที่ตีแผ่ความจนได้ดีในรูปแบบที่แตกต่างออกไป สองเขือนั่นมีเหตุผลในการกระทำของตัวเอง และหนังก็เหมือนจะแสดงออกถึงความโกรธขึ้งในระบบธนาคารอย่างโจ่งแจ้ง สังเกตได้จากป้ายแบนเนอร์ข้างถนนที่พูดอยู่เรื่องเดียว และมันคือเหตุผลของการกระทำทั้งหมด