แล้วเวลาก็พาเราเดินวนเวียนมาพบกับผลงานภาพยนตร์ที่เป็นฝีมือการกำกับของ ริวสึเกะ ฮามากุจิ อีกครั้ง หลังเขาสามารถพา ‘Drive My Car สุดทางรัก’ ให้ลอยติดลมบนด้วยการคว้ารางวัลออสการ์หนังต่างประเทศยอดเยี่ยม (Best International Feature Film) ไปเมื่อปีก่อน มาปีนี้ เขาก็กลับมาพร้อมกับ ‘Evil Does Not Exist’ หรือชื่อไทย ‘ที่นี่ไม่มีปีศาจ’ ผลงานชิ้นใหม่ที่ว่าด้วยเรื่องมนุษย์กับธรรมชาติ
ความคิดเห็นของนายแพท
หนังญี่ปุ่นเรื่องถัดมาของผู้กำกับ ‘สุดทางรัก’ ที่คราวนี้ หันมาเล่าเรื่องของมนุษย์กับธรรมชาติ เมื่อกลุ่มทุนจากเมืองหลวงต้องการเข้ามาใช้พื้นที่ป่าให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวคนเมือง ก็ต้องเจอแรงต้านของชาวบ้านแถวนั้น หนังเดินเรื่องอย่างไม่รีบร้อนแต่เต็มไปด้วยเรื่องราว นำเสนอสองด้านความคิดของชาวบ้านที่พยายามเบียดเบียนป่าให้น้อยที่สุด กับนักธุรกิจที่ใส่ใจแต่จะแสวงหากำไรโดยไม่สนใจผลกระทบ แม้หนังจะแฝงนัยยะอยู่บ้าง แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่ใช่หนังที่เข้าใจได้ยากเย็นอะไร
ความเนิบช้าของหนังพาเราไปพบกับการอยู่ร่วมกับผืนป่าของชาวบ้าน ก่อนจะพาเราตกตะลึงกับสิ่งที่คาดไม่ถึงในช่วงท้าย
เรื่องย่อหนัง ‘Evil Does Not Exist’
ดูตัวอย่างก็อาจจะมองไม่ชัดว่าหนังมันเล่าเรื่องอะไร เมื่อดูหนังแล้วก็พอจะเข้าใจว่า มันเล่ากันได้แค่คร่าวๆ จริงจริงแหละ เรื่องมันมีอยู่ว่า ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ที่นั่นก็เหมือนหมู่บ้านตามชนบทของญี่ปุ่นทั่วไป มีป่า มีภูเขา มีกวาง และก็มนุษย์จำนวนที่อาศัยอยู่โดยพยายามจะกลมกลืนไปกับป่าแถบนั้นให้มากที่สุด
เรื่องราวมันเล่าถึง ทาคุมิ (Hitoshi Omika) พ่อเลี้ยงเดี่ยวที่อาศัยอยู่กับ ฮานะจัง (Ryo Nishikawa) สาวน้อยขี้สงสัย ทาคุมิ เลี้ยงชีพและครอบครัวด้วยอาชีพรับจ้างทั่วไป ชีวิตของคนที่นี่ค่อนข้างใส่ใจในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ แต่แล้วความสมดุลก็กำลังจะถูกรุกล้ำเมื่อบริษัทจากโตเกียวที่ตั้งใจมาหาประโยชน์ด้วยการทำธุรกิจที่เรียกว่า ‘แกลมปิง’
แน่นอนว่าชาวบ้านที่นี่ไม่เห็นด้วยแน่ๆ พวกเขาพยายามคัดค้านเพราะมองว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวนั้นมักนำซึ่งมลภาวะ ในที่สุด เจ้าของกลุ่มทุนก็เลยส่งทีมงานมาพูดคุยกับชาวบ้านพอเป็นพิธี
รีวิวหนัง ‘ที่นี่ไม่มีปีศาจ’
เรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติถูกหยิบมาบอกเล่าอีกครั้ง คราวนี้ อยู่ในมือของผู้กำกับชาวญี่ปุ่นที่เล่นกับความสโลว์เบิร์นได้อย่างชาญฉลาด มันจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยฉากที่ทำให้เราเห็นถึงความสวยงามของธรรมชาติยาวๆ ก่อนเข้าสู่ชีวิตของผู้คนที่นั่น โดยหลักๆ ก็จะโฟกัสที่ครอบครัวเล็กๆ ที่ประกอบด้วยพ่อชื่อทาคุมิกับลูกสาวชื่อฮานะ
พ่อที่มีอาชีพรับจ้างไปเรื่อย ใครจ้างอะไรก็ทำ เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ปล่อยให้ลูกสาวได้เดินเล่นในป่าตามลำพัง บางเวลาที่เดินไปคู่กัน พ่อก็จะพูดคุยเรื่องป่ากับเจ้าตัวน้อยอยู่เสมอ ลูกสาวก็มีความสุขในการสำรวจป่าและเดินตามรอยเท้ากวาง ส่วนคนพ่อ นอกจากผ่าฟืนแล้วก็ยังรับจ้างตักน้ำในลำธารมาเพื่อทำอาหารในร้านแห่งหนึ่งด้วย มองเห็นได้ถึงการใช้ชีวิตที่อยู่กับธรรมชาติ รู้จักมัน และไม่เบียดเบียนเอาจากมันจนทำให้มันเสียสมดุล
แต่โลกที่มนุษย์กลมกลืนกับธรรมชาตินี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อกลุ่มทุนที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากรัฐที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤติโควิด กำลังรุกคืบเข้ามาใช้พื้นที่ป่าเพื่อก่อร่างสร้างธุรกิจแนวท่องเที่ยวที่ถูกเรียกว่า ‘แกลมปิง’ ซึ่งก็คือ ซึ่งก็คือ พื้นที่แคมปิ้งสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความหรูอยู่สบาย อะไรเทือกๆ นั้นนั่นแหละ
ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของพวกเขาก็จะเป็นกลุ่มคนเมืองทั้งหลายที่อยากจะคลายเครียดจากหน้าที่การงานมาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ โดยไม่ได้ใส่ใจว่า ตนจะสร้างความเสียหายให้กับผืนป่าหรือวิถีชีวิตของคนที่นั่นยังไง แม้การสนทนารับฟังความคิดและข้อขัดแย้งของชาวบ้านจะถูกจัดตั้งขึ้น แต่ก็เหมือนจะไม่ได้แคร์ว่าชาวบ้านจะต่อต้านยังไง จัดกันไปอย่างเป็นพิธี
ไดอะล็อกของชาวบ้านและตัวแทนผู้มาติดต่อบ่งบอกได้ดีมีแง่มุม ว่าต่างฝ่ายต่างคิดเห็นกันอย่างไร มันคือความจริงที่ปรากฏอยู่ในโลกปัจจุบัน ที่ไหนที่มีเงินเข้ามายุ่งเกี่ยว ผลกระทบย่อมเกิดขึ้นเสมอ นักธุรกิจล้วนมุ่งเน้นหากำไรแต่ไม่ได้ใส่ใจธรรมชาติเท่าที่ควร ขณะคนท้องถิ่นผูกพันกับป่ามากกว่าทั้งยังหวงแหนความเป็นอยู่ของตน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การมีพวกเขาอยู่ก็ได้สร้างผลกระทบต่อป่าไปแล้วเช่นกัน
เอาจริงๆ ปัญหาของการรุกรานป่ามันก็มีอยู่ก่อนแล้ว สังเกตได้จากเสียงปืนของพวกล่าสัตว์ที่ดังอยู่หลายหน มนุษย์เข้าป่าไปล่าสัตว์จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ขนาดที่เราไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านนั้น ยังรู้สึกสะท้อนใจ ไม่ต้องพูดถึงคนที่นั่นเลยว่าจะรู้สึกอย่างไร
และอันที่จริง ไม่ว่ามนุษย์จะพยายามเบียดเบียนป่าให้น้อยเพียงใด การมีมนุษย์เข้าไปอยู่ร่วม ย่อมต้องส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของพื้นที่แถบนั้นไม่มากก็น้อยอยู่ดี
หนังอาจมีบางส่วนที่เดินช้าเนิบนาบจนอาจพาง่วงไปบ้าง ขณะเดียวกันก็เต็มไปภาพของธรรมชาติอันงดงามให้เราได้สัมผัส มีเด็กน้อยน่ารักในชุดสีน้ำเงินถุงมือเหลืองเป็นจุดดึงดูดให้ติดตาม ชอบที่หนังใช้มุมของการเงยมองท้องฟ้าที่มีแมกไม้ในสองช่วงเวลาซึ่งบ่งบอกอารมณ์ของป่าได้ดี จึงอาจจะไม่ใช่หนังที่เข้าหาคนดูมากสักเท่าไหร่ หากเล่าเรื่องในทางของตัวเองอย่างสุดๆ แต่ก็เปิดโอกาสให้คนดูได้มองเห็นแง่มุมของการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติอยู่ในที
สุดท้ายแล้ว คนดูคงต้องตอบคำถามในหัวเอาเองว่า ในเรื่องราวนี้แท้จริงมีปีศาจอยู่หรือไม่?
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | Evil Does Not Exist / ที่นี่ไม่มีปีศาจ |
กำกับ | Ryusuke Hamaguchi |
เขียนบท | Ryusuke Hamaguchi |
แสดงนำ | Hitoshi Omika, Ryo Nishikawa, Ryuji Kosaka, Ayaka Shibutani, Hazuki Kikuchi, Hiroyuki Miura |
แนว/ประเภท | ดราม่า |
เรท | |
ความยาว | 106 นาที |
ปี | 2023 |
สัญชาติ | ญี่ปุ่น |
เข้าฉายในไทย | รอบพิเศษ 8-13 กุมภาพันธ์ 2024 ฉายจริง 14 กุมภาพันธ์ 2024 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | Fictive, NEOPA, Sahamongkolfilm International Company |
คะแนนรีวิวหนัง ที่นี่ไม่มีปีศาจ
พล็อตและบท - 8
การดำเนินเรื่อง - 7.6
การแสดง - 8
งานถ่ายภาพ และโปรดักชัน - 9.2
เพลงและดนตรีประกอบ - 8.2
8.2
Evil Does Not Exist
หนังญี่ปุ่นเรื่องถัดมาของผู้กำกับ 'สุดทางรัก' ที่คราวนี้ หันมาเล่าเรื่องของมนุษย์กับธรรมชาติ เมื่อกลุ่มทุนจากเมืองหลวงต้องการเข้ามาใช้พื้นที่ป่าให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวคนเมือง ก็ต้องเจอแรงต้านของชาวบ้านแถวนั้น หนังเดินเรื่องอย่างไม่รีบร้อนแต่เต็มไปด้วยเรื่องราว นำเสนอสองด้านความคิดของชาวบ้านที่พยายามเบียดเบียนป่าให้น้อยที่สุด กับนักธุรกิจที่ใส่ใจแต่จะแสวงหากำไรโดยไม่สนใจผลกระทบ ความเนิบช้าของหนังพาเราไปพบกับการอยู่ร่วมกับผืนป่าของชาวบ้าน ก่อนจะพาเราตกตะลึงกับสิ่งที่คาดไม่ถึงในช่วงท้าย