รีวิวหนัง Dunkirk ดันเคิร์ก | ชายหาดแห่งความสิ้นหวัง

และแล้วก็ได้เวลาที่รอคอย ผมได้พบกับหนังที่สนใจใคร่อยากดูอีกเรื่องของสัปดาห์นี้ในที่สุด เรื่องราวที่สร้างขึ้นมาจากเรื่องจริงในอดีตของสงครามโลกครั้งที่สอง ‘Dunkirk’ เหตุปฏิบัติการช่วยเหลือทหารอังกฤษกลับสู่มาตุภูมิราวสี่แสนชีวิต

ผลงานของผู้กำกับฯ ที่ได้ชื่อว่าสร้างผลงานระดับคุณภาพ มีมาตรฐานสูง ไม่ว่าจะเป็น ‘Inception’, ‘Batman Trilogy’, ‘Interstellar’ และอีกหลายเรื่อง เขาคือ Christopher Nolan

แต่ผมบอกตัวเองไว้ว่าจะไม่เอาสิ่งเหล่านี้มาสร้างกำแพงแห่งความคาดหวัง

เรื่องย่อหนัง ‘Dunkirk’

เรื่องย่อของดันเคิร์กนั้นสั้นๆ ง่ายๆ เลย มันคือปฏิบัติการช่วยเหลือเหล่าทหารของอังกฤษและฝรั่งเศสที่โดนกองทัพเยอรมันรุกไล่จนเหลือที่ให้อยู่แค่บนชายหาดเมืองดันเคิร์ก สิ่งที่พวกเขาจะต้องทำให้สำเร็จตามคำสั่งของเชอร์ชิลนั่นคือ การนำทหารกลับอังกฤษให้ได้มากที่สุด

แม้รู้ว่ามันไม่น่าจะพากลับไปได้ทั้งหมดก็ตาม

สงครามโลกครั้งที่สองที่มีแต่ภาพของความโหดร้ายทารุณในหนังเรื่องอื่นๆ แต่ในเรื่องนี้ มันคือภาพของเหล่าทหารที่ต้องเอาตัวรอดจากข่มเหงขับไล่โจมตีในทุกๆ ทาง ทั้งบนบก บนฟ้า และในน้ำ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองจะเหลือชีวิตรอดกลับไปบ้านของพวกเขาเองหรือเปล่า

แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า “บ้าน” ดันเป็นฝ่ายมาหาพวกเขาเสียเอง

รีวิวหนัง ‘ดันเคิร์ก’

ผมเลือกชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในแบบฟิล์ม 70 มม. บนจอใหญ่ IMAX ณ​ พารากอนซีเนเพล็กซ์ เพราะนี่คือโรงเดียวในไทยที่ฉายในระบบนี้ ภาพที่เต็มจอตั้งแต่บนยันล่างเกือบทั้งเรื่องสร้างบรรยากาศที่เสมือนอยู่ในสงครามจริงๆ

มิใช่หนังสงคราม แต่คือหนังเอาชีวิตรอดในสงคราม

อย่างที่บอก หนังไม่ได้เล่าถึงเหตุสงครามอย่างจริงจัง แต่นำเอาส่วนเสี้ยวหนึ่งของสงครามมาเล่า ทหารในเรื่องแทบจะไม่ได้ทำสงครามเลย หากคือภารกิจที่จะต้องเอาตัวรอดออกไปจากหาดแห่งนั้น

เรื่องราวที่เล่าผ่านตัวละครหลักๆ อย่างทอมมี่ (Fionn Whitehead) ทหารบกอังกฤษที่หนีการรุกไล่จากทหารเยอรมันจนไปเจอชายหาด และทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้กลับบ้าน ดอว์สัน (Mark Rylance) อดีตทหารเก่าที่ขับรถลำยอร์ชออกจากท่าไปรับทหารที่กลับบ้านไม่ได้เพราะถูกปิดล้อม แฟร์ริเออร์ (Tom Hardy) นักบินที่คอยสกัดกั้นเครื่องบินรบของฝ่ายตรงข้ามเพื่อเปิดให้การหนีเป็นไปได้

และยังมีอีกหลายตัวละครเล็กๆ ที่อยู่ในหนังเรื่องนี้

หนังไม่ได้พูดถึงความเลวร้ายของสงครามอย่างโจ่งแจ้งแบบหนังสงครามเรื่องอื่น แต่หนังมันออกสไตล์หนังเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ตอนนั้นที่มันเป็นสงครามเสียมากกว่า ไม่ได้เล่าลงลึกที่ตัวละครตัวไหน แค่เล่าเกาะติดเรื่องราวเอาตัวรอดของตัวละครแต่ละตัวก็เท่านั้นเอง

หากแต่ก็เหมือนหนังจะยอมให้เรามีอารมณ์ไปกับตัวละครสักเท่าไหร่ คล้ายให้เราเป็นแค่คนนั่งสังเกตการณ์ ประกอบการเล่าเหตุที่เกิดจากคนละช่วงเวลาแต่ตัดสลับกันไป เดี๋ยวกลางวันเดี๋ยวกลางคืน ก็ทำให้อารมณ์ค่อนข้างสะดุด ดีหน่อยที่ช่วงท้ายดึงอารมณ์ให้ช้าลงบ้าง เข้าไปซึมซับในอารมณ์ของตัวละครบ้าง

พอเรียกน้ำตาซึมแห่งความอินได้นิดหน่อย

ดนตรีประกอบสุดบีบคั้น จอใหญ่ช่วยบีบเค้น

หนังสร้างจากเค้าโครงเหตุการณ์จริง แต่เรื่องราวและตัวละครต่างถูกสมมติขึ้นทั้งหมด ส่วนที่โดดเด่นที่สุดของหนังอย่าง ‘ดันเคิร์ก’ ที่รู้สึกระหว่างชมก็คือ ดนตรีประกอบจาก Hans Zimmer ที่ดังประกอบแทบจะตลอดตัวหนัง ให้อารมณ์บีบคั้นกดดันและลุ้นระทึกว่าภารกิจนี้จะสำเร็จหรือไม่ ตัวละครจะรอดไปกับชายหาดแห่งความสิ้นหวังตรงนั้นได้อย่างไร

เพราะดูเหมือนพวกเขาจะโดนรุกไล่ทุกทางดั่งจะไม่ยอดให้กลับบ้านกันเลย

การรับชมหนังในแบบจอใหญ่ที่ขยายภาพขึ้นไปเต็มบนสุดล่างสุดของจอ IMAX เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกเสมือนกำลังอยู่ในสงครามตอนนั้นด้วย โดยเฉพาะฉากบนเครื่องบินรบที่กล้องจะถูกติดไปกับเครื่องบินที่บินฉวัดเฉวียนเหมือนเราก็บินอยู่บนนั้น เห็นมุมมองเดียวกับนักบิน เหมือนเรากดปุ่มยิง ดันคันบังคับไปด้วยกับพวกเขา

หรือแม้แต่บนเรือแต่มันจะโคลงเคลงตามไปด้วย

ภาพที่ใหญ่จนต้องกลอกตาเพื่อจะได้เห็นทั้งภาพ และจะได้เห็นรายละเอียดบางส่วนที่ประกอบอยู่ในภาพ คือส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่จะไม่ได้พบในโรงหนังอื่นๆ อาจเป็นส่วนที่ทำให้ดูหนังเรื่องนี้สนุกมากขึ้น โดยเฉพาะความใหญ่ทำให้ความบีบเค้นเป็นไปอย่างจริงมากขึ้นเช่นกัน

หนังรวมดารา งานภาพยิ่งใหญ่ มุมมองแหล่มๆ

เอาแค่สามคนที่ว่ามานั่นก็คงเรียกได้ว่าหนังของคริสโตเฟอร์​​​ โนแลน เรื่องนี้มีดาราหลักที่มีชื่อแล้ว โดยเฉพาะลุงมาร์กที่เคยได้รางวัลออสการ์จาก ‘Bridge of Spies’ หรือทอม ฮาร์ดี้ ที่เคยร่วมงานกับผู้กำกับฯ มาแล้วจาก ‘The Dark Knight Rises’ และ ‘Inception’ แล้วก็ยังจะมี Cillian Murphy ที่เล่นเป็นทหารที่รอดตายและลุงมาร์กได้ช่วยเหลือไว้ มี Kenneth Branagh เล่นเป็นโบลตัน นายทหารระดับผู้บัญชาการบนชายหาดดันเคิร์ก

แล้วก็ยังจะมี Harry Styles นักร้องดังที่มาร่วมแสดงในหนังอีกด้วย

ในบางฉากของหนัง ผมชื่นชอบในมุมมองการถ่ายทำเลยนะ ภาพของเรือเอียงๆ น้ำกำลังเข้า หลายฉากถ้าไม่ได้ดูแบบจอใหญ่ที่เห็นมุมมองเต็มๆ อาจจะไม่รู้สึกได้เท่านี้ก็เป็นได้ นอกจากความรู้สึกว่าหนังให้อารมณ์เหมือนเราเป็นแค่คนสังเกตการณ์แล้ว ก็ยังมีความรู้สึกบางเหตุการณ์เหมือนโนแลนแกจะให้เวลากับมันมากไปนิด ทั้งที่เหตุการณ์มันน่าจะจบลงก่อนที่เหตุการณ์อื่นด้วยซ้ำ

ดนตรีประกอบของ Hans ช่วยหนังไว้ได้มาก บีบคั้นกดดันตลอดทั้งเรื่อง งานภาพใหญ่คือประสบการณ์ที่ทำให้เต็มอารมณ์กับหนังได้มากที่สุด

คงพูดได้ประมาณๆ นี้

ชื่อภาพยนตร์: Dunkirk / ดันเคิร์ก
ผู้กำกับภาพยนตร์: Christopher Nolan
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Christopher Nolan
นักแสดงนำ: Fionn Whitehead, Kenneth Branagh, Cillian Murphy, Mark Rylance, Tom Hardy, Aneurin Barnard, Barry Keoghan, Harry Styles
ดนตรีประกอบ: Hans Zimmer
ความยาว: 106 นาที
แนว/ประเภท: Action, Drama, History, War
อัตราส่วนภาพ: 2.20 : 1
เรท: ไทย/, MPAA/PG-13
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 20 กรกฎาคม 2560
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Syncopy, Warner Bros., Dombey Street Productions